แจงแล้ว หลังแพร่สะพัด "น้ำแข็ง" ทำคนไทยเป็นมะเร็งอันดับ 1 ของโลก
ตามที่มีกระแสข่าวตามสื่อออนไลน์ เรื่อง น้ำแข็งยูนิคใส่สารฟอร์มาลีน ทำให้คนไทยเป็นโรคมะเร็งอันดับ 1 ของโลก ทางศูนย์ต่อต้านข่าวปลอมได้ดำเนินการตรวจสอบข้อเท็จจริงกับ สถาบันมะเร็งแห่งชาติ กรมการแพทย์ กระทรวงสาธารณสุข พบว่าประเด็นดังกล่าวนั้น เป็นข้อมูลเท็จ
จากที่มีการแชร์ข้อมูลว่าน้ำแข็งยูนิคที่รับประทานผสมสารฟอร์มาลีน เพื่อให้น้ำแข็งละลายช้า ด้วยเหตุนี้จึงทำให้คนไทยเป็นมะเร็งมากที่สุดในโลกนั้น ทางสถาบันมะเร็งแห่งชาติ ได้ตรวจสอบเรื่องดังกล่าวและชี้แจงว่า ฟอร์มาลีนไม่ได้รับอนุญาตให้ใช้ในอาหาร และไม่มีคุณสมบัติทำให้น้ำแข็งตัวได้เร็วหรือละลายช้า ซึ่งน้ำแข็งผลิตจากกระบวนการเปลี่ยนสถานะของน้ำจากของเหลวเป็นของแข็งน้ำที่อุณหภูมิต่ำกว่า 0 องศาเซลเซียส ไม่จำเป็นต้องเติมสารอื่นเพิ่มเติม โดยฟอร์มาลีน หรือ สารละลายฟอร์มัลดีไฮด์ เป็นสารเคมีชนิดหนึ่งซึ่งมีพิษ ประกอบด้วยก๊าซฟอร์มาลดีไฮด์ละลายน้ำด้วยความเข้มข้นร้อยละ 37 มีลักษณะเป็นน้ำใส มีกลิ่นฉุน แสบจมูกและตา ฟอร์มาลีนถูกนำมาใช้ประโยชน์หลายด้าน เช่น เป็นสารตั้งต้นผลิตภัณฑ์ต่างๆ ที่ใช้ในชีวิตประจำวัน ในทางการแพทย์นำมาใช้ในการรักษาสภาพร่างกายมนุษย์ที่เสียชีวิต ใช้ในห้องปฏิบัติการพยาธิวิทยา ในขั้นตอนการคงสภาพของเนื้อเยื่อในเทคนิคทางด้านเนื้อเยื่อวิทยา เพราะทำให้โปรตีนแข็งตัว
สำหรับประเด็นเรื่องที่คนไทยเป็นมะเร็งมากที่สุดในโลกนั้น ในด้านสถิติการเสียชีวิตของประชากรไทย ข้อมูลจากสถิติสาธารณสุขรายงานว่าโรคมะเร็งเป็นสาเหตุการเสียชีวิตอันดับ 1 ของคนไทย อย่างไรก็ตามอุบัติการณ์การเกิดโรคมะเร็งของไทยไม่ได้เป็นอันดับ 1 ของโลก รายงานจากองค์การอนามัยโลก (Globocan 2020) ประเทศไทยมีผู้ป่วยมะเร็งรายใหม่จัดเป็นอันดับที่ 89 ของโลก
ดังนั้นขอให้ประชาชนอย่าหลงเชื่อข้อมูลดังกล่าว และขอความร่วมมือไม่ส่ง หรือแชร์ข้อมูลดังกล่าวต่อในช่องทางสื่อสังคมออนไลน์ต่างๆ และเพื่อให้ประชาชนได้รับข้อมูลข่าวสารจากสถาบันมะเร็งแห่งชาติ สามารถติดตามได้ที่เว็บไซต์ http://thaicancernews.nci.go.th/_v2/ หรือ www.nci.go.th หรือโทร. 02 2026800
บทสรุปของเรื่องนี้คือ : ฟอร์มาลีนไม่ได้รับอนุญาตให้ใช้ในอาหาร และไม่มีคุณสมบัติทำให้น้ำแข็งตัวได้เร็วหรือละลายช้า อีกทั้งประเทศไทยมีผู้ป่วยมะเร็งรายใหม่จัดเป็นอันดับที่ 89 ของโลก ไม่ได้เป็นอันดับ 1 ของโลก
หน่วยงานที่ตรวจสอบ : สถาบันมะเร็งแห่งชาติ กรมการแพทย์ กระทรวงสาธารณสุข
ขอขอบคุณข้อมูลจาก Tnews