ใช้รถต้องรู้! คนอยากมีรถอย่าเข้าใจผิด เครดิตบูโร ไม่ใช่แบล็กลิสต์
คนที่อยากจะซื้อรถสักหนึ่งคัน หรือทำธุรกรรมทางเงินอะไรก็แล้วแต่ อาจจะมีข้อสงสัยกันมาอยู่บ้าง เกี่ยวกับ แบล็กลิสต์ หรือ เครดิตบูโร อยากจะกลัวว่าจะไม่สามารถขออนุมัติสินเชื่อได้ แต่ความจริงแล้ว แนะนำว่าคนอยากมีรถอย่าเข้าใจผิด เพราะทั้ง 2 อย่างนี้แตกต่างกันชัดเจน
ใช้รถต้องรู้! คนอยากมีรถอย่าเข้าใจผิด เครดิตบูโร ไม่ใช่ แบล็กลิสต์
เครดิตบูโร คืออะไร?
เครดิตบูโร คือชื่อเรียกของ "บริษัท ข้อมูลเครดิตแห่งชาติ จำกัด" หรือ "National Credit Bureau" ซึ่งเป็นบริษัทที่รวบรวมข้อมูลเครดิตจากสถาบันการเงินที่เป็นสมาชิก ซึ่งสถาบันการเงินและเจ้าของข้อมูลสามารถเรียกดูรายงานข้อมูลได้ตามที่กฎหมายกำหนด ซึ่งในรายงานจะระบุพฤติกรรมการชำระเงิน ทั้งประวัติดี ประวัติชำระล่าช้า เพื่อให้สถาบันการเงินใช้ประกอบการตัดสินใจพิจารณาสินเชื่อในอนาคต
Blacklist คืออะไร?
หลายคนเข้าใจผิดว่าถูกขึ้นแบล็กลิสต์ (Blacklist) กับ เครดิตบูโร ซึ่งในความจริงไม่เป็นเช่นนั้น เพราะเครดิตบูโรมีหน้าที่เพียงเก็บและรายงานข้อมูลการชำระเงินของลูกค้าที่ขอสินเชื่อ ไม่มีหน้าที่อนุมัติสินเชื่อแต่อย่างใด
ทั้งนี้ หากเราขอเช่าซื้อรถยนต์กับไฟแนนซ์ A เมื่อไฟแนนซ์ A ขอเรียกดูข้อมูลเครดิตของคุณกับเครดิตบูโร แล้วพบว่าผู้ยื่นกู้มีประวัติผิดนัดชำระเกิน 90 วัน ไม่ว่าจะเป็นวงเงินสินเชื่อ, บัตรเครดิต, ผ่อนบ้าน หรือผ่อนรถ ฯลฯ ไฟแนนซ์ A ก็มีสิทธิ์พิจารณาไม่ปล่อยสินเชื่อเช่าซื้อรถยนต์ให้คุณได้ เพราะถือว่ามีความเสี่ยงที่อาจถูกเบี้ยวหนี้
และการติดแบล็คลิสต์คือการที่บุคคลใดก็ตามมีประวัติในการชำระหนี้ไม่ตรงตามกำหนด หรือมีติดหนี้บัตรเครดิตคงค้างเกิน 90 วัน ซึ่งประวัติที่ว่านี้จะถูกไปบันทึกในเครดิตบูโรนั่นเอง
ยกตัวอย่าง : หากคุณต้องการขอเช่าซื้อรถยนต์กับไฟแนนซ์รถยนต์ เมื่อทางไฟแนนซ์เรียกดูข้อมูลเครดิตของคุณกับเครดิตบูโร พบว่ามีประวัติหนี้ค้างชำระเกิน 90 วัน ไม่ว่าจะเป็นบัตรเครดิต, ผ่อนบ้าน, วงเงินสินเชื่อ หรืออื่นๆ “ไฟแนนซ์รถยนต์ที่เป็นผู้พิจารณาเพื่ออนุมัติสินเชื่อ” อาจจะอนุมัติหรือไม่อนุมัติก็ได้ขึ้นอยู่กับดุลยพินิจและการพิจารณาโดยมีข้อมูลเครดิตบูโรของคุณเป็นหนึ่งปัจจัยหลักในการพิจารณาสินเชื่อ
แล้วคำถามที่ว่า ถ้าเคยมีประวัติค้างชำระ จะกู้ซื้อรถ ได้หรือเปล่า
ตามกฎหมายกำหนดไว้ว่าเครดิตบูโรจะเก็บข้อมูลไว้ได้ไม่เกิน 36 เดือน หรือ 3 ปี โดยจะมีข้อมูลใหม่แทนที่ข้อมูลเก่าไปเรื่อยๆ ทุกเดือน ดังนั้น หากรู้ตัวว่ามีประวัติค้างชำระที่ส่งผลให้ขอสินเชื่อได้ยาก ก็ควรชำระให้เรียบร้อยเสียก่อน จนกระทั่งบัญชีกลับมาเป็นปกติ หากไม่ต้องการมีประวัติค้างชำระอยู่ในเครดิตบูโร ก็ต้องรอไปอีก 36 เดือน นับตั้งแต่วันที่บัญชีกลับมาเป็นปกติ เพื่อให้ประวัติค้างชำระหายไปครับ