แนะนำการปลูกข้าวโพดหลังทำนา ตั้งแต่เตรียมดินถึงการเก็บเกี่ยว
ศูนย์วิจัยพืชไร่นครสวรรค์ ได้เปิดเผยถึง การทำงานทุกขั้นตอนในการทำแปลงปลูกข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ หลังทำนาในช่วงฤดูแล้ง
ศูนย์วิจัยพืชไร่นครสวรรค์ ได้เปิดเผยถึงการทำงานทุกขั้นตอนในแปลงปลูกข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ ในฤดูแล้ง หลังนา ตั้งแต่สัปดาห์แรกเริ่มจากการเตรียมดิน การปลูก การปฏิบัติดูแลรักษา ซึ่งประกอบด้วย การใส่ปุ๋ย การให้น้ำ การกำจัดศัตรูพืช ไปจนกระทั่งการเก็บเกี่ยว ตลอดจนข้อควรระวัง ข้อสังเกตต่างๆ ในแต่ละระยะ เพื่อเป็นแนวทางปฏิบัติแก่เกษตรกรในการเพิ่มประสิทธิภาพการผลิต
สัปดาห์ที่ 1
การเตรียมพื้นที่ปลูก
เตรียมดินทันทีหลังการเก็บเกี่ยวข้าวเมื่อดินมีความชื้นเหมาะสม ประมาณเดือนพฤศจิกายน ถึงธันวาคม โดยไถดะด้วยผาลเจ็ด หรือรถไถเดินตาม จากนั้นพรวนด้วยโรตารี 1-2 ครั้ง เพื่อเก็บความชื้นและย่อยดินให้ร่วนซุย
ระหว่างการไถเตรียมดิน ปรับพื้นที่ให้ลาดเอียงเพื่อสะดวกในการส่งน้ำและระบายน้ำ ทำร่องน้ำรอบและผ่านแปลงนาให้ขนานกับแถวข้าวโพด
ข้อควรระวัง
- ข้าวโพดชอบดินที่โปร่งและระบายน้ำดี สภาพแปลงนาก่อนปลูกข้าวโพด ดินอัดตัวแน่นและระบายน้ำยาก เป็นผลมาจากการเตรียมดินสำหรับการทำนา
- หลีกเลี่ยงดินเหนียวจัดซึ่งมีการระบายน้ำไม่ดี หากจำเป็นต้องปลูก ต้องมีการควบคุมการให้น้ำอย่างเหมาะสม เพื่อป้องกันปัญหาต้นข้าวโพดเน่า
ข้อสังเกต
- หากความชื้นในดินเหมาะสม หลังจากการไถจะแตกร่วน หากดินมีความชื้นมากเกินไป ดินจะจับเป็นแผ่นหรือก้อนขนาดใหญ่
- หากมีเศษฟางและตอซังข้าวหนา อาจเป็นอุปสรรคในการใช้เครื่องหยอดเมล็ด เกษตรกรควรหมักฟางข้าวให้เปื่อยในระหว่างการเตรียมดินโดยใช้โรตารีตีหมกฟางคลุกลงดิน แล้วสูบน้ำใส่ให้ท่วมหมักทิ้งไว้ 1สัปดาห์ แล้วไขน้ำออก ตากดินไว้ประมาณ 2 สัปดาห์ จนดินหมาด แล้วเตรียมดินตามปกติ
- วิธีการเตรียมดินอาจขึ้นกับสภาพพื้นที่ หรือ ชนิดดิน
สัปดาห์ที่ 2 การเลือกใช้พันธุ์
ควรเลือกใช้พันธุ์ข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ลูกผสม เช่น พันธุ์นครสวรรค์ 3 นครสวรรค์ 5 ของภาครัฐ รวมทั้งพันธุ์ของภาคเอกชน ซึ่งเป็นพันธุ์ที่มีศักยภาพในการให้ผลผลิตสูงเมื่อปลูกในสภาพนา ทั้งนี้การปลูกสภาพดังกล่าวมีการใช้ปัจจัยการผลิตต่างๆ ค่อนข้างสมบูรณ์ เช่น ปุ๋ย และน้ำชลประทาน ลักษณะพันธุ์ข้าวโพดที่เหมาะสมสำหรับพื้นที่นา คือ มีลำต้นและระบบรากแข็งแรง ไม่หักล้มง่าย ทนทานต่อน้ำท่วมขัง นอกจากนี้เมล็ดพันธุ์ควรมีความงอกมากกว่า 90 เปอร์เซ็นต์และมีความแข็งแรงสูง
การตรวจสอบความอุดมสมบูรณ์ของดิน
ควรเก็บตัวอย่างดินเพื่อตรวจสอบสมบัติของดิน ซึ่งอาจจะส่งวิเคราะห์ที่สำนักงานเกษตรอำเภอ ศูนย์วิจัยและศูนย์วิจัยและพัฒนาการเกษตร รวมทั้งสำนักวิจัยและพัฒนาการเกษตรเขตต่างๆ หรืออาจจะใช้ชุดตรวจสอบดิน สำหรับตรวจสอบความอุดมสมบูรณ์ของดินเพื่อกำหนดอัตราการใส่ปุ๋ยเคมีตามค่าวิเคราะห์ดิน
ข้อควรระวัง
- การปลูกข้าวโพดหลังนาอาศัยความชื้นในดินที่หลงเหลืออยู่หลังเก็บเกี่ยวข้าวซึ่งดินมีความชื้นค่อนข้างจำกัด หากใช้เมล็ดพันธุ์คุณภาพต่ำ ความงอกไม่ดี อาจทำให้ต้องปลูกใหม่ ซึ่งทำให้ต้นทุนการผลิตเพิ่มขึ้น
- เมล็ดพันธุ์การค้าที่จำหน่าย โดยปกติมีการคลุกเมล็ดด้วยสารป้องกันกำจัดโรคราน้ำค้างเรียบร้อยแล้ว หากมีเมล็ดพันธุ์ที่ไม่ได้คลุกแต่แนบซองบรรจุสารเคมีมาพร้อมเมล็ดพันธุ์ เกษตรกรต้องคลุกเมล็ดพันธุ์ด้วยสารเคมีที่แนบมา ตามคำแนะนำอย่างเคร่งครัด
ข้อสังเกต
- ควรทำแปลงทดสอบพันธุ์ในพื้นที่ปลูกเพื่อหาพันธุ์ที่ให้ผลผลิตสูงในพื้นที่นั้น
- การปลูกและการใส่ปุ๋ยรองพื้นพร้อมปลูก
- ปลูกเมื่อมีความชื้นในดินเหมาะสม เพียงพอต่อการงอกของเมล็ด
1.ปลูกด้วยเครื่องจักรกลการเกษตร
ใช้รถแทรกเตอร์ลากจูงเครื่องปลูกและใส่ปุ๋ย ปรับให้มีระยะระหว่างแถว 70-75 เซนติเมตร ระยะระหว่างหลุม 20 เซนติเมตร จำนวน 1 ต้นต่อหลุม หรือ อัตราปลูกประมาณ 10,600-11,400 ต้นต่อไร่ ใช้เมล็ด 3-4 กิโลกรัมต่อไร่
2.ปลูกด้วยแรงงานคน
ใช้ระยะระหว่างแถว 70-75 เซนติเมตร ระยะระหว่างหลุม 20 เซนติเมตร อัตราปลูกประมาณ 10,600-11,400 ต้นต่อไร่ ใช้เมล็ดพันธุ์ 3-4 กิโลกรัมต่อไร่ โดยใช้จอบขุดเป็นหลุม หรือรถไถเดินตาม หรือแทรกเตอร์ติดหัวเปิดร่อง
การใส่ปุ๋ยรองพื้นพร้อมปลูก
โดยหว่านปุ๋ยแล้วพรวนกลบ หรือ ใช้เครื่องหยอดพร้อมปลูก
ดินเหนียวสีดำ ใส่ปุ๋ย 15-15-15 อัตรา 40 กิโลกรัมต่อไร่
ดินเหนียวสีแดงหรือดินร่วนเหนียว ใส่ปุ๋ย 15-15-15 อัตรา 50 กิโลกรัมต่อไร่
ดินร่วนทราย ใส่ปุ๋ย 15-15-15 อัตรา 60 กิโลกรัมต่อไร่ และปุ๋ยอินทรีย์ 500-1,000 กก./ไร่
ข้อควรระวัง
- ไม่ควรให้น้ำหลังการปลูกทันที อาจเป็นปัญหาต่อการงอก ดินอัดแน่น เมล็ดไม่สามารถงอกได้ ทำให้เมล็ดเน่าเสียหาย
- หากปลูกช่วงที่มีอุณหภูมิค่อนข้างต่ำ เมล็ดอาจงอกช้า
- การปลูกล่าช้า หลังเดือนธันวาคมทำให้ระยะออกดอกตรงกับช่วงอุณหภูมิสูง อาจทำให้ช่อดอกและไหมแห้ง ผสมไม่ติด ทำให้เมล็ดติดไม่เต็มฝัก
- เลือกจานหยอดของเครื่องหยอดเมล็ดให้มีความเหมาะสมกับขนาดของเมล็ดพันธุ์ ตามคำแนะนำที่ระบุมากับเมล็ดพันธุ์
ข้อสังเกต
การปลูกสามารถทำได้ทั้งแบบปลูกบนพื้นราบและยกร่อง ซึ่งการปลูกแบบยกร่องจะสะดวกในการให้น้ำ และข้าวโพดยังได้รับน้ำอย่างสม่ำเสมอ แต่มีต้นทุนการเตรียมดินที่สูงกว่าปลูกบนพื้นราบ
การควบคุมวัชพืช
พ่นสารกำจัดวัชพืชทันทีหลังปลูก ใช้สารกำจัดวัชพืชอะลาคลอร์ 48 % ชนิดน้ำ อัตรา 125-150 มิลลิลิตร ต่อน้ำ 20 ลิตร พ่น 80 ลิตรต่อไร่ หรือ อาทราซีน 80% ชนิดผง อัตรา 100-150 กรัมต่อน้ำ 20 ลิตร พ่น 80 ลิตรต่อไร่ พ่นคลุมดินหลังปลูก ก่อนข้าวโพดและวัชพืชงอก ขณะพ่นดินต้องมีความชื้น
สัปดาห์ที่ 3-4 (7-20 วัน หลังปลูก)
การเฝ้าระวังการระบาดของโรคและแมลง อาทิเช่น โรคราน้ำค้าง หนอนกระทู้ข้าวโพดลายจุด หนอนเจาะลำต้นข้าวโพด หนอนกระทู้หอม และเพลี้ยไฟ
ข้อสังเกต
หากช่วงปลูกมีอุณหภูมิค่อนข้างต่ำ ต้นอ่อนชะงักการเจริญเติบโต อาจแสดงอาการใบสีม่วงคล้ายการขาดธาตุฟอสฟอรัส อาการจะคลายเป็นปกติเมื่อข้าวโพดเจริญเติบโต หรืออุณหภูมิสูงขึ้น
สัปดาห์ที่ 5 (21-30 วัน หลังปลูก)
การกำจัดวัชพืชระหว่างแถวข้าวโพด การใส่ปุ๋ยแต่งหน้าครั้งที่ 1 และพูนโคนต้นข้าวโพด
เมื่อข้าวโพดอายุ 20-25 วัน ทำการกำจัดวัชพืชระหว่างแถวปลูก และใส่ปุ๋ยไนโตรเจนอีกครั้งโดยโรยข้างแถวแล้วพรวนดินแถกร่องกลบด้วยแรงงานหรือเครื่องจักรกล ควรดำเนินการให้แล้วเสร็จก่อนการให้น้ำครั้งแรก
ดินเหนียวสีดำ ใส่ปุ๋ย 21-0-0 อัตรา 30 กิโลกรัมต่อไร่ หรือปุ๋ย 46-0-0 อัตรา 15 กิโลกรัมต่อไร่
ดินเหนียวสีแดงหรือดินร่วนเหนียว ใส่ปุ๋ย 46-0-0 อัตรา 15 กิโลกรัมต่อไร่
ดินร่วนทราย ใส่ปุ๋ย 46-0-0 อัตรา 20 กิโลกรัมต่อไร่
การให้น้ำชลประทาน
ควรให้น้ำครั้งแรกหลังจากพรวนดินแถกร่อง เมื่อต้นข้าวโพดอายุได้ประมาณ 20-25 วัน ตลอดฤดูปลูกข้าวโพดควรได้รับน้ำอย่างน้อย 4 ครั้ง พิจารณาจากความชื้นดิน หรือ อาการเหี่ยวของใบข้าวโพด
– ครั้งที่ 1 เมื่อข้าวโพดอายุ 20-25 วัน
– ครั้งที่ 2 เมื่อข้าวโพดอายุ 40-45 วัน
– ครั้งที่ 3 เมื่อข้าวโพดอายุ 60-65 วัน
– ครั้งที่ 4 เมื่อข้าวโพดอายุ 80 วัน
ข้อควรระวัง
ข้าวโพดเป็นพืชที่ไม่ชอบน้ำท่วมขัง โดยเฉพาะในระยะแรกของการเจริญเติบโต ซึ่งตายอดยังมาโผล่พ้นดิน อาจทำให้ต้นกล้าเน่าตายได้
ข้อสังเกต
- อาจสังเกตจากอาการเหี่ยวชั่วคราวของใบข้าวโพดในช่วงบ่ายในการตัดสินใจให้น้ำในแต่ละครั้ง
- อาการเหี่ยวชั่วคราวเนื่องจากเริ่มขาดน้ำ ช่วงบ่ายใบจะเริ่มห่อ (leaf rolling)
- เฝ้าระวังการระบาดของหนอนกระทู้ข้าวโพดลายจุด
- เมื่อมีการระบาด พ่นสารป้องกันกำจัดแมลงตามคำแนะนำของกรมวิชาการเกษตร เน้นพ่นสารลงยอด
สัปดาห์ที่ 6-8 (31-45 วัน หลังปลูก)
การให้น้ำและใส่ปุ๋ยแต่งหน้าครั้งที่ 2
ใส่ปุ๋ยไนโตรเจน (46-0-0) ครั้งที่ 2 อัตรา 10 กิโลกรัมต่อไร่ เมื่อข้าวโพดอายุ 40-45 วัน โดยโรยข้างแถวข้าวโพดหลังจากให้น้ำ หรือก่อนให้น้ำ จะทำให้ต้นข้าวโพดสมบูรณ์และเตรียมพร้อมสำหรับการออกดอก
พันธุ์ข้าวโพดโดยทั่วไปที่ปลูกในฤดูแล้งหลังนา มีอายุวันออกดอก 50% ประมาณ 60-65 วัน หลังจากปลูก ซึ่งระยะที่ข้าวโพดเริ่มออกดอกและออกไหม เป็นระยะที่ต้องการน้ำที่เพียงพอ ดังนั้นควรให้น้ำอีกครั้งในช่วงข้าวโพดออกดอกอายุประมาณ 60-65 วัน
ข้อควรระวัง
ระวังอย่าให้ข้าวโพดขาดน้ำช่วงออกดอก ซึ่งจะกระทบต่อการให้ผลผลิต
ข้อสังเกต
ในการให้น้ำ อาจสังเกตจากอาการเหี่ยวชั่วคราวของใบข้าวโพดในช่วงบ่าย
เฝ้าระวังการระบาดของหนอนกระทู้ข้าวโพดลายจุด
เมื่อพบการระบาดรุนแรง พ่นสารป้องกันกำจัดแมลงตามคำแนะนำของกรมวิชาการเกษตร เน้นพ่นสารลงยอด เพื่อลดปริมาณหนอนที่จะเข้าทำลายในระยะติดฝัก
สัปดาห์ที่ 9-12 (46-70 วัน หลังปลูก)
เฝ้าระวังการระบาดของโรคและแมลง
เพลี้ยอ่อน
มักจะเกาะเป็นกลุ่ม ใช้ปากดูดกินน้ำเลี้ยงจากส่วนต่างๆ ของต้นข้าวโพด ระยะที่ข้าวโพดกำลังมีช่อเกสรตัวผู้ เป็นระยะที่ข้าวโพดได้รับความกระทบกระเทือนมากที่สุด เมื่อพบเพลี้ยอ่อนมากกว่า 25 % ของพื้นที่ใบทั้งต้น โดยเฉพาะระยะที่แทงช่อดอกตัวผู้ พ่นด้วย คาร์บาริล (85% ดับบลิวพี) อัตรา 50 กรัมต่อน้ำ 20 ลิตร
หนอนเจาะลำต้นข้าวโพด
ทำความเสียหายโดยการเจาะเข้าไปภายในลำต้นข้าวโพดหรือฝัก ทำให้ต้นหักล้มง่าย เมื่อพบใบยอดที่ยังไม่คลี่ถูกทำลาย 40-50 เปอร์เซ็นต์ หรือ เมื่อพบรูทำลายที่ลำต้น 3 รูต่อต้น (หรือพบหนอน 2 ตัวต่อต้น) ในระยะข้าวโพดอายุประมาณ 30-40 วัน จึงใช้สารฆ่าแมลงป้องกันกำจัด เช่น ฟิโปรนิล (5% เอสซี) 30 มิลลิลิตรต่อน้ำ 20 ลิตร หรือ คลอแรนทรานิลิโพรล (5.17 % เอสซี) อัตรา 20 มิลลิลิตรต่อน้ำ 20 ลิตร
โรคต้นเน่าจากเชื้อรา (อาการเน่าแห้ง) และโรคต้นเน่าจากเชื้อแบคทีเรีย (อาการเน่าเปียกฉ่ำน้ำลำต้นยุ่ยมีกลิ่นเหม็น)
การป้องกันกำจัดเตรียมแปลงให้มีการระบายน้ำดี ใส่ปุ๋ยอินทรีย์บำรุงดิน ไม่ใส่ปุ๋ยไนโตรเจนปริมาณสูง หลีกเลี่ยงการปลูกแน่น เก็บต้นเป็นโรคไปทำลายนอกแปลงปลูก
ข้อสังเกต
- ความเสียหายที่เกิดจากหนอนเจาะลำต้นข้าวโพด ไม่รุนแรงอาจจะไม่มีความจำเป็นต้องป้องกันกำจัดด้วยสารเคมี
- ศัตรูธรรมชาติ เช่น แมลงหางหนีบแตนเบียน ช่วยลดการระบาดของหนอนเจาะลำต้นได้
- ด้วงเต่า และแมลงหางหนีบช่วยลดปริมาณเพลี้ยอ่อนในธรรมชาติได้
สัปดาห์ที่ 13-18 (71-112 วัน หลังปลูก)
การให้น้ำระยะสร้างเมล็ดและสะสมน้ำหนักเมล็ด
ให้น้ำครั้งที่ 4 เมื่อข้าวโพดอายุประมาณ 75-80 วัน อย่างพอเพียง เนื่องจากเป็นช่วงที่ต้องการธาตุอาหารและน้ำในการสร้างผลผลิต
ข้าวโพดจะมีการสุกแก่ทางสรีรวิทยาโดยทั่วไปประมาณ 45 วัน หลังออกไหม ซึ่งเป็นระยะที่ข้าวโพดหยุดการเจริญเติบโต มีการสะสมน้ำหนักแห้งสูงสุด
สังเกตได้จากส่วนโคนเมล็ดจะมีเนื้อเยื่อสีดำ เรียกว่า black layer เกิดขึ้น ทำให้การส่งผ่านธาตุอาหารจากส่วนต่าง ๆ ของต้นข้าวโพดสู่เมล็ดสิ้นสุดลง หลังจากนั้นความชื้นภายในเมล็ดจะเริ่มลดลงเรื่อยๆ จะเร็วหรือช้าขึ้นอยู่กับอุณหภูมิของอากาศและความชื้นสัมพัทธ์
ข้อควรระวัง
- ไม่ควรให้น้ำอีกเมื่อข้าวโพดถึงระยะการสุกแก่ทางสรีรวิทยา เนื่องจากไม่ช่วยเพิ่มผลผลิต และยังมีผลให้ความชื้นในฝักลดลงช้า
- มักจะมีพายุฤดูร้อนทำให้เกิดปัญหาการหักล้ม
ข้อสังเกต
- ข้าวโพดกำลังสร้างเมล็ดอย่างเต็มที่ หากดินขาดโพแทสเซียมจะแสดงอาการลำต้นหักบริเวณต่ำกว่าฝักลงมาจนถึงโคนต้น ดังนั้นควรตรวจสอบความอุดมสมบูรณ์ดินก่อนปลูกข้าวโพดด้วย
สัปดาห์ที่ 19 (115-120 วัน หลังปลูก)
การเก็บเกี่ยว
การเก็บเกี่ยวด้วยแรงงาน
ใช้ไม้หรือเหล็กแหลมแทงปลายฝักปอกเปลือก แล้วหักฝักข้าวโพดใส่กระสอบ นำไปเทกองรวมไว้ในยุ้งฉาง
การเก็บเกี่ยวด้วยเครื่องจักรกล
– ใช้เครื่องเก็บเกี่ยวแบบปลิดฝักต่อพ่วงกับรถแทรกเตอร์ขนาด 60-80 แรงม้า เครื่องจะปลิดและรูดเปลือกหุ้มฝักข้าวโพดออก บรรจุกระสอบโดยอัตโนมัติ
– ใช้เครื่องเก็บเกี่ยวแบบเกี่ยวนวดอัตโนมัติ เครื่องจะเก็บรูดฝักข้าวโพด กะเทาะ และทำความสะอาด คัดแยกเมล็ดดีเก็บในถังจนเต็ม นำใส่รถบรรทุกส่งขายพ่อค้า
ข้อควรระวัง
1. เก็บเกี่ยวเมื่อข้าวโพดแก่จัด หรือแห้งหมดทั้งแปลงแล้ว 7 วัน เมล็ดจะมีความชื้นประมาณ 23 เปอร์เซ็นต์
2. ไม่ควรเก็บเกี่ยวข้าวโพดหลังฝนตก เพราะเมล็ดจะมีความชื้นสูง ควรปล่อยให้ฝักและต้นข้าวโพดแห้งก่อน
ข้อสังเกต
– ข้าวโพดที่ฝักแก่จัดและแห้งสนิท ต้นและใบจะเปลี่ยนเป็นสีฟางข้าวทั้งแปลง มีความชื้นประมาณ 20-25%
– ถ้าต้องการใช้พื้นที่ปลูกพืชอื่นตามข้าวโพด ควรเก็บเกี่ยวเมื่อใบข้าวโพดเปลี่ยนเป็นสีฟางข้าว 80-90 % เมล็ดจะมีความสมบูรณ์แล้ว
– เก็บเกี่ยวเมื่ออายุ 120 วันหลังปลูก สำหรับการปลูกในฤดูแล้ง
สนับสนุนโดย : ปุ๋ยมงกุฎ