ยานยนต์

heading-ยานยนต์

5 เหตุผลเทียบแบบชัดๆ ระหว่าง “รถญี่ปุ่น” กับ “รถยุโรป” อันไหนน่าซื้อกว่ากัน

13 ส.ค. 2566 | 13:48 น.
5 เหตุผลเทียบแบบชัดๆ ระหว่าง “รถญี่ปุ่น” กับ “รถยุโรป” อันไหนน่าซื้อกว่ากัน

การเลือกซื้อรถยนต์ซักคัน แต่ล่ะคนหรือแต่ล่ะครอบครัวมักมีมุมมองการเลือกซื้อรถยนต์ที่แตกต่างกัน ความคุ้มค่าในเรื่องของราคา คุณภาพ การบริการ และ รวมไปถึงค่าใช้จ่ายต่างๆ ที่จะเกิดขึ้น

5 เหตุผลเทียบแบบชัดๆ ระหว่าง “รถญี่ปุ่น” กับ “รถยุโรป” อันไหนน่าซื้อกว่ากัน 

5 เหตุผลเทียบแบบชัดๆ ระหว่าง “รถญี่ปุ่น” กับ “รถยุโรป” อันไหนน่าซื้อกว่ากัน

5 เหตุผลเทียบแบบชัดๆ ระหว่าง “รถญี่ปุ่น” กับ “รถยุโรป” อันไหนน่าซื้อกว่ากัน

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

heading-ข่าวที่เกี่ยวข้อง

5 เหตุผลเปรียบเทียบ ระหว่าง “รถญี่ปุ่น” กับ “รถยุโรป”

 

1.ค่าบำรุงรักษาต่ำกว่า

     แม้ว่าปัจจุบันค่ายรถยนต์ทางฝั่งยุโรปจะมีการขายแพ็คเกจบำรุงรักษา ที่ช่วยให้เจ้าของรถไม่จำเป็นต้องควักกระเป๋าจ่ายเงินเมื่อนำรถเข้ารับการเช็กระยะ แต่หากแพ็คเกจดังกล่าวสิ้นสุดลง ก็จะตามมาด้วยค่าเซอร์ิสที่แพงหูฉี่ แม้ว่ารถหรูบางยี่ห้อจะเปิดโอกาสให้สามารถซื้อแพ็คเกจบำรุงรักษาหรือวารันตีได้ต่ออย่างเนื่อง แต่ก็แลกมาด้วยราคาที่สูงถึงหลักแสนบาท

     ขณะที่รถญี่ปุ่นเองแทบไม่จำเป็นต้องมีแพ็คเกจบำรุงรักษาเลย เนื่องจากค่าบริการเช็กระยะค่อนข้างต่ำอยู่แล้ว จะมีก็เพียงระยะทุก 40,000 กิโลเมตร ที่อาจมีค่าใช้จ่ายขึ้นไปถึงหลักหมื่นบาทต้นๆ เท่านั้น นอกจากนี้ ค่าใช้จ่ายในการเปลี่ยนอะไหล่หลังหมดระยะรับประกันของรถญี่ปุ่น มักถูกกว่ารถยุโรปอย่างเห็นได้ชัด รวมถึงปัญหาจุกจิกต่างๆ ก็น้อยกว่ามากด้วย

 

2.อุปกรณ์มาตรฐานเยอะกว่า (ในราคาใกล้เคียงกัน)

 

     หากเทียบกันระหว่างรถญี่ปุ่นระดับ D-Segment รุ่นท็อปสุด และรถยุโรปรุ่นเริ่มต้นขนาดเล็ก (ที่มีราคาป้วนเปี้ยนราว 1 ล้านบาทปลาย ถึง 2 ล้านบาทต้น) จะเห็นได้ว่าอุปกรณ์มาตรฐานของรถญี่ปุ่นมีให้ค่อนข้างครบครันกว่า เช่น รถญี่ปุ่นอาจมีระบบช่วยเบรกฉุกเฉินอัตโนมัติมาให้แล้ว แต่รถยุโรปที่มีราคาใกล้เคียงกันยังไม่มี

     นอกจากนี้ รถญี่ปุ่นมักได้เปรียบในด้านขนาดความกว้างขวางของห้องโดยสาร เหมาะสำหรับทั้งการใช้งานคนเดียว หรือใช้งานในครอบครัวก็ย่อมได้

 

3.ราคาขายต่อเจ็บตัวน้อยกว่า

     โดยทั่วไปแล้วยุโรปจะมีราคาขายต่อตกลงมาจากป้ายแดงค่อนข้างมาก ยกตัวอย่างเช่น Mercedes-Benz E300 Bluetec Hybrid Executive W212 รุ่นปี 2016 ราคาป้ายแดงประมาณ 4 ล้านกว่าบาท แต่ราคามือสองในปัจจุบันเหลือเพียง 1 ล้านบาทต้น ขณะที่ Toyota Camry 2.5 HV Navi ปี 2016 รุ่นท็อปสุด มีราคาป้ายแดง 1,879,000 บาท ปัจจุบันราคามือสองยังคงอยู่ที่ราว 8 แสนบาท จะเห็นว่าส่วนต่างที่หายไปแตกต่างกันค่อนข้างเยอะทีเดียว

 

4.ค่าประกันภัยถูกกว่า

     แม้ว่าทุนประกันจะเท่ากัน แต่บริษัทประกันมักเรียกเก็บค่าเบี้ยประกันรถยุโรปแพงกว่ารถญี่ปุ่นถึงหลักหมื่นบาท เนื่องด้วยกรณีเกิดความเสียหายกับตัวรถ ค่าซ่อมรถยุโรปจะแพงกว่ารถญี่ปุ่นนั่นเอง อีกทั้งบริษัทที่รับประกันรถยุโรปยังมีจำนวนน้อยกว่า ทำให้ตัวเลือกในการเปรียบเทียบราคาน้อยลงตามไปด้วย

 

5.ขับแล้วสบายใจกว่า

     จากสาเหตุทั้งหมดที่กล่าวมาข้างต้น โดยเฉพาะค่าใช้จ่ายในการเป็นเจ้าของรถยุโรปที่สูงกว่ารถญี่ปุ่นในทุกด้าน จึงเป็นเหตุผลว่าการใช้รถญี่ปุ่นจะทำให้รู้สึกสบายใจกว่า กล้านำรถออกไปใช้งานมากกว่า อีกทั้งประหยัดเงินในกระเป๋ามากกว่าทั้งในระยะสั้นและระยะยาว

ข่าวล่าสุด

heading-ข่าวล่าสุด

ข่าวเด่น

นางเอกดัง "เบลล่า ราณี"  สุดเศร้า สูญเสียคุณยายอันเป็นที่รัก

นางเอกดัง "เบลล่า ราณี" สุดเศร้า สูญเสียคุณยายอันเป็นที่รัก

"เบิร์ด เทคนิค" สูญเสียครั้งใหญ่ สุดเศร้าโลกนี้ช่างใจร้ายกับผม

"เบิร์ด เทคนิค" สูญเสียครั้งใหญ่ สุดเศร้าโลกนี้ช่างใจร้ายกับผม

ข่าวดี รัฐบาลขยายเวลา "คุณสู้ เราช่วย" ถึงสิ้นเดือนนี้

ข่าวดี รัฐบาลขยายเวลา "คุณสู้ เราช่วย" ถึงสิ้นเดือนนี้

โดนแล้ว "พีช สมิทธิพัฒน์" สารภาพ 3 ข้อหา เผยค่าปรับที่ต้องชดใช้

โดนแล้ว "พีช สมิทธิพัฒน์" สารภาพ 3 ข้อหา เผยค่าปรับที่ต้องชดใช้

รวบ 2 จิ๊กโก๋ รัวปืนกลางงานวัด บาดเจ็บ 3 ราย พบมีคดีติดตัวทั้งคู่

รวบ 2 จิ๊กโก๋ รัวปืนกลางงานวัด บาดเจ็บ 3 ราย พบมีคดีติดตัวทั้งคู่