เพิ่งจะรู้! คลายข้อสงสัยทำไมยางรถยนต์ถึงมีสีดำ?
เคยสงสัยกันหรือไม่ครับว่า ทำไมยางรถยนต์ที่ใช้กันอยู่แพร่หลายถึงต้องเป็นสีดำ ทั้งๆ ที่โดยธรรมชาติแล้ววัตถุดิบหลักอย่างน้ำยางมีสีขาว และการที่ยางรถยนต์มีสีดำจะมีประโยชน์อย่างไรบ้าง? วันนี้ Carfreedom มีคำตอบครับ!
เพิ่งจะรู้! คลายข้อสงสัยทำไมยางรถยนต์ถึงมีสีดำ?
ก่อนอื่นเราไปรู้จัก Carbon Black ต้นเหตุสีดำของยางรถยนต์ กันก่อน
Carbon Black (คาร์บอน แบล็ก) คือ สสารเกิดจากการเผาไหม้อย่างไม่สมบูรณ์ของผลิตภัณฑ์ปิโตรเลียม มีลักษณะเป็นเม็ดผงละเอียดสีดำ มีขนาดเท่า ๆ กัน มีคุณสมบัติทนต่อแรงเสียดทาน และมีความยืดหยุ่นสูง ผู้ผลิตยางจึงมักนำมาผสมในเนื้อยาง โดยเฉพาะในส่วนที่เป็นดอกยางจะมีคาร์บอนแบล็กเป็นองค์ประกอบถึง 25% และการผสมคาร์บอนแบล็กลงในเนื้อยาง คือสาเหตุว่าทำไมยางรถยนต์ต้องเป็นสีดำนั่นเอง
โดย ยางรถยนต์ที่ทำมาจากวัสดุยางถูกประดิษฐ์ขึ้นเป็นครั้งแรกเมื่อปี 1895 หลังจากที่ก่อนหน้านี้ล้อรถยนต์มักทำมาจากวัสดุไม้หรือเหล็ก ซึ่งไม่มีประสิทธิภาพการยึดเกาะถนนได้ดีมากพอเมื่อเทียบกับสมรรถนะของพาหนะที่เพิ่มขึ้นในสมัยนั้น โดยขณะนั้นได้มีการคิดค้นส่วนผสมต่างๆ ลงไปในเนื้อยางเพื่อเพิ่มความแข็งแรง ทนทาน และสามารถกระจายความร้อนได้อย่างทั่วถึง จนกระทั่งมาลงตัวที่ “คาร์บอนแบล็ก” (Carbon Black) ซึ่งเป็นวัตถุดิบทางเคมีที่นำมาใช้อย่างแพร่หลายมาจนถึงปัจจุบัน
การเติมคาร์บอนแบล็กลงในเนื้อยางประมาณ 50% ของปริมาตรทั้งหมดของยาง จะทำให้ยางมีคุณสมบัติทนทานต่อการสึกหรอเพิ่มขึ้นถึง 100 เท่า และมีความต้านทานแรงดึงของยางเพิ่มขึ้น 10 เท่า ซึ่งการเติมคาร์บอนแบล็กดังกล่าวก็ส่งผลให้ยางเปลี่ยนสีเป็นสีดำนั่นเองครับ!
สรุปง่ายๆว่า ยางรถยนต์มีสีดำนอกจากจะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพของยางรถยนต์ให้เหมาะสมกับการใช้งานในยุคปัจจุบันแล้ว ยังทำความสะอาดง่ายไม่ต้องเปลืองแรง เปลืองค่าใช้จ่ายในการดูแลรักษาความสะอาด แม้จะเลอะเทอะเปรอะเปื้อนดินโคลนก็สามารถล้างทำความสะอาดได้สะดวก ไม่ทิ้งคราบสกปรกให้เห็นบนยางอีกด้วย