ใครชอบความเร็ว! รอได้เลย นายกฯ ลุ้นไทย จัดแข่งฟอร์มูล่า 1 (F1) เร็วสุดปี 2027
นายกฯ เผยเตรียมรับข่าวดี ไทยอาจได้เป็นสนามแข่งฟอร์มูล่า 1 (F1) เร็วสุดปี 2027 พร้อมเล็งพื้นที่ใกล้อู่ตะเภาเป็นสนามแข่งรถ!
ใครชอบความเร็ว! รอได้เลย นายกฯ ลุ้นไทย จัดแข่งฟอร์มูล่า 1 (F1) เร็วสุดปี 2027
เมื่อวันที่ 20 พฤษภาคม 2567 นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี เปิดเผยหลังจากเดินทางไปเยี่ยมชม สนามแข่งรถ Autodromo Enzo e Dino Ferrari (ออโตโดรโม่ เอ็นโซ่ อีดีโน่ เฟอร์รารี่) ที่เมืองโบโลญญา สาธารณรัฐอิตาลี และพบกับผู้บริหารสนาม ซึ่งเป็นสนามที่เป็นประวัติศาสตร์ โดยรัฐบาลไทยต้องการสนับสนุนด้านการท่องเที่ยว ให้มีการแข่งขันกีฬาระดับโลก ซึ่งฟอร์มูล่า 1 (F1) ใน 1 ปี จะมีการแข่งขันกว่า 20 สนาม ตามเมืองต่างๆ ทั่วโลก แต่ไม่เคยจัดขึ้นที่ไทย ดังนั้นรัฐบาลจึงต้องการที่จะให้มีการจัดการแข่งขันขึ้นที่ประเทศไทย
โดยนาย เศรษฐา กล่าวว่า วันนี้ได้เชิญนายฉัตรชัย พรหมเลิศ ประธานกรรมการบริหารบริษัท ปตท.จำกัด (มหาชน) และ นายกวิณ กาจนพาสน์ กรรมการและกรรมการผู้อำนวยการใหญ่ บริษัท บีทีเอส กรุ๊ปโฮลดิ้ง จำกัด ที่เป็นผู้ได้รับการทำสัมปทานสนามบินอู่ตะเภา ซึ่งมีที่ดินอยู่บริเวณดังกล่าวจำนวนมาก หากได้รับเลือกให้เป็นหนึ่งในสนามแข่งขัน ก็จะใช้ที่ดินบริเวณอู่ตะเภา “รัฐบาลจึงให้ความมั่นใจ ว่าไทยมีความพร้อมในการสร้างสนามแข่งขันอย่างเร็วที่สุด ในปี 2027 หรืออย่างช้าที่สุดปี 2028 โดยมีผู้สนับสนุนรายใหญ่ คือ บริษัท ปตท.จำกัด (มหาชน) อย่างเช่น เมื่อครั้งที่ประเทศมาเลเซียเป็นเจ้าภาพในการจัดการแข่งขัน ก็มีบริษัทปีโตนาส เป็นผู้สนับสนุน เชื่อว่าทั้งผู้จัดและเราก็มีความต้องการให้จัดการแข่งขัน มั่นใจว่าภายในอีกไม่กี่เดือนข้างหน้านี้จะมีข่าวดี” นายเศรษฐา กล่าว
นายกรัฐมนตรีกล่าวว่า มั่นใจว่าจะมีการจัดการแข่งขันขึ้นที่ประเทศไทยอย่างแน่นอน เพราะได้รับการตอบรับจากผู้จัดเป็นอย่างดี และมีทีม RedBull และนักแข่งที่เป็นคนไทย ก็อยากจะเห็นสนามการแข่งขันในประเทศไทย
นายเศรษฐา กล่าวว่า นอกจากจะมีการแข่งขันF1 แล้ว ก็จะได้มีการจัดการแข่งขัน F2 ซึ่งเป็นลีกรองลงมาอีกด้วย ซึ่งมีการจัดการแข่งขัน 3 วันเช่นเดียวกัน รวมถึงนักแข่งประเภทเยาวชนด้วย ขณะเดียวกันยังไม่ได้ประเมินว่าหากมีการแข่งขันแล้วจะมีรายได้เข้าประเทศมากน้อยเพียงไหน ขณะนี้อยู่ระหว่างการศึกษาความเป็นไปได้ของโครงการ แต่จากที่สังเกตเห็นในสนามตั๋วเข้าชมระดับวีไอพี ต่อคนราคาประมาณ 5,000-8,000 เหรียญสหรัฐ และยังมีรายได้จากช่องทางอื่น ทั้งผู้สนับสนุนหรือการเปิดบูธขายอาหาร
นายเศรษฐา กล่าวว่า ในมุมของเศรษฐกิจ ยังมีเรื่องของนักท่องเที่ยวที่จะเดินทางเข้ามาในประเทศ ทำให้เกิดการใช้จ่าย ทั้งค่าที่พัก ค่าเดินทาง ค่าอาหาร ซึ่งรัฐบาลสามารถจัดกิจกรรมเสริมในช่วงเวลานั้นได้อีก รวมถึงการเดินทางไปท่องเที่ยวได้หลายจังหวัด และเชื่อว่าจะสร้างผลกระทบเชิงบวกในทางเศรษฐกิจได้อย่างมหาศาล แต่ขณะนี้ยังมีรายละเอียดเชิงลึกที่จะต้องหารือกันอีก