ศาลอุทธรณ์ยืนคุก ซินแสโชกุน 4,355 ปี
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืนตามศาลชั้นต้นลงโทษจำคุก "ซินแสโชกุน" คดีหลอกตุ๋นสมาชิกขายอาหารเสริมไปทัวร์ญี่ปุ่นแต่ปล่อยลอยแพกลางสนามบินสุวรรณภูมิ 4,355 ปี
วันนี้ (12/03/2564) เมื่อเวลา 10.30 น.ที่ห้องพิจารณาคดี 811 ศาลอาญา ถ.รัชดาภิเษก ศาลอ่านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ คดีหมายเลขดำ อ.2176/2560 ที่พนักงานอัยการคดีเศรษฐกิจและทรัพยากร 2 เป็นโจทก์ยื่นฟ้องบริษัท เวลท์เอเวอร์ จำกัด, น.ส.พสิษฐ์ อริญชย์ลาภิศ หรือซินแสโชกุน อายุ 34 ปี กรรมการผู้จัดการบริษัทฯ, นางมณฑญาณ์ นิรันดร หรือจันทร์ฉาย นาคฤทธิ์ อายุ 60 ปี มารดาของซินแสโชกุน, นายก้องศรัณย์ แสงประภา อายุ 26 ปี ลูกพี่ลูกน้องของซินแสโชกุน, น.ส.ทัศย์ดาว สมัครกสิกรรณ์ อายุ 39 ปี เลขานุการและคนรักของซินแสโชกุน, นางประนอม พลานุสนธิ์ อายุ 44 ปี รองประธานบริษัท, นางณิชมน แสงประภา อายุ 68 ปี ป้าของซินแสโชกุน และเป็นมารดาของนายก้องศรัณย์, นางพารินธรญ์ หงส์หิรัญ ดัคกอร์ อายุ 39 ปี ผู้ดูแลการเงินและผู้ช่วยการโฆษณาของบริษัท, น.ส.สุดารัตน์ อเนกนวล อายุ 29 ปี ผู้ดูแลการขาย และนายโกวิท ช่วยสัตว์ อายุ 34 ปี คนรักของ น.ส.สุดารัตน์ เป็นจำเลยที่ 1-10 ในความผิดฐานร่วมกันกู้ยืมเงินที่เป็นการฉ้อโกงประชาชน และร่วมกันฉ้อโกงประชาชน ที่เป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 341, 343 พ.ร.ก.การกู้ยืมเงินที่เป็นการฉ้อโกงประชาชน พ.ศ.2527 และฉบับแก้ไขเพิ่มเติม มาตรา 3, 4, 12
และฟ้องจำเลยที่ 2-10 ในความผิดฐานร่วมกันนำข้อมูลอันเป็นเท็จเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ ซึ่งข้อมูลนั้นเป็นเท็จน่าจะก่อให้เกิดความเสียหายแก่ผู้อื่นหรือประชาชน อันเป็นความผิดตาม พ.ร.บ.ว่าด้วยการกระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ พ.ศ.2550 มาตรา 3, 14 (1) และเป็นซ่องโจร ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 210
ขณะที่ บจก.เวลท์เอเวอร์ และ น.ส.พสิษฐ์ จำเลยที่ 1-2 ยังถูกฟ้องอีกในข้อหาร่วมกันจำหน่ายผลิตภัณฑ์เสริมอาหารที่ควบคุมฉลากโดยแสดงฉลากไม่ถูกต้อง ซึ่งเป็นความผิดตาม พ.ร.บ.อาหาร พ.ศ.2522 มาตรา 4, 6 (10), 51 และยังฟ้อง น.ส.พสิษฐ์ จำเลยที่ 2 ในความผิดฐานซื้อหรือรับไว้ของที่นำเข้ามาในราชอาณาจักร โดยหลีกเลี่ยงอากรฯ ที่เป็นความผิดตาม พ.ร.บ.ศุลกากร พ.ศ.2469 มาตรา 27 ทวิ ด้วย โดยท้ายฟ้องอัยการยังขอให้จำเลยร่วมกันชดใช้ค่าเสียหาย 51 ล้านบาทเศษ คืนให้กับผู้เสียหาย 871 คน พร้อมดอกเบี้ยที่ผิดนัดชำระร้อยละ 7.5 ต่อปี นับตั้งแต่วันฟ้องคดีวันที่ 6 ก.ค. 2560 หลังจากที่จำเลยชักชวนให้ผู้เสียหายเข้าเป็นสมาชิกของบริษัทผลิตภัณฑ์อาหารเสริม ระหว่างเดือน ม.ค.-เม.ย. 2560 โดยอ้างว่าจะมีสิทธิได้เดินทางไปท่องเที่ยวประเทศแถบเอเชีย อาทิ ญี่ปุ่น เกาหลี ฮ่องกง แต่มีผู้เสียหายหลายร้อยรายไม่ได้เดินทางไปประเทศญี่ปุ่นตามที่จำเลยโฆษณา เนื่องจากไม่มีสายการบินเดินทางไปประเทศญี่ปุ่นตามวันเวลาที่จำเลยกล่าวอ้าง จึงติดค้างอยู่ที่สนามบินสุวรรณภูมิ
คำฟ้องระบุพฤติการณ์สรุปได้ว่า เมื่อระหว่างวันที่ 25 ม.ค. - 11 เม.ย. 2560 น.ส.พิสิษฐ์ หรือซินแสโชกุน จำเลยที่ 2 ได้นำผลิตภัณฑ์อาหารเสริม MASTERMIND ชนิดแคปซูล รวม 425 กระปุก กับผลิตภัณฑ์อาหารเสริม GENESIS รวม 50 กระป๋อง รวมทั้งอาหารเสริม SMART KIDS รวม 31 กระป๋อง ซึ่งจำเลยที่ 2 รู้อยู่แล้วว่าผลิตภัณฑ์ดังกล่าวมีแหล่งผลิตในต่างประเทศ โดยมีผู้อื่นนำเข้ามาในราชอาณาจักรโดยยังไม่ได้เสียภาษี หรือผ่านศุลกากรให้ถูกต้อง รวมมูลค่าสินค้าและอากรที่ต้องจ่าย 945,131 บาท
แล้วจำเลยที่ 2 - 10 ได้สมคบกันตั้งแต่ 5 คนขึ้นไป กระทำผิดเป็นซ่องโจรร่วมกันฉ้อโกงประชาชน แสดงข้อความอันเป็นเท็จ โฆษณาชักชวนประชาชนทั่วไปผ่านเพจเฟซบุ๊ค "WealthEver For Life" เว็บไซต์ยูทูปและแอพพลิเคชั่นไลน์กลุ่ม เชิญชวนให้ประชาชนสมัครเข้าเป็นสมาชิกและร่วมลงทุนกับพวกจำเลย จำหน่ายผลิตภัณฑ์เสริมของบริษัท ALLYSIAN (แอลลี่เชี่ยน) ซึ่งเป็นบริษัทในต่างประเทศ รวมทั้งจะได้รับผลประโยชน์ตอบแทนสูง และมีการจัดโปรแกรมท่องเที่ยวให้สมาชิกเดินทางไปเมืองโอซาก้า ประเทศญี่ปุ่น ระหว่างวันที่ 10 - 15 เม.ย. 2560 และ 11- 16 เม.ย. 2560 โดยเครื่องบิน Airbus A330-300 ขนาด 377 ที่นั่ง ของสายการบินคาร์เธ่ แปซิฟิก รวม 6 ลำ จนมีประชาชน 871 ราย หลงเชื่อสมัครเข้าเป็นสมาชิกและร่วมลงทุนทำธุรกิจกับบริษัทจำเลยที่ 1 กับพวกได้รับความเสียหายจำนวนมาก เหตุเกิดทั่วราชอาณาจักร โดยจำเลยทั้งหมดให้การปฏิเสธทั้งชั้นสอบสวนและชั้นพิจารณา
ศาลชั้นต้นพิพากษาเมื่อวันที่ 12 ก.ย.2561 ว่า การกระทำของ บจก.เวลท์เอเวอร์ จำเลยที่ 1, น.ส.พสิษฐ์ จำเลยที่ 2, น.ส.ทัศย์ดาว จำเลยที่ 5 และ นางพารินธรญ์ จำเลยที่ 8 เป็นความผิดหลายกรรมต่างกันตาม พ.ร.ก.กู้ยืมเงิน อันเป็นการฉ้อโกงประชาชน มาตรา 4 วรรคหนึ่ง, 5, 12 ร่วมกันฉ้อโกงประชาชนตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 343 พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ฯ มาตรา 14 (1) และ พ.ร.บ.อาหาร มาตรา 6 เฉพาะจำเลยที่ 1-2 ให้เรียงกระทงลงโทษทุกกรรมเป็นความผิดไป ซึ่งการกระทำฐานฉ้อโกงและการนำเข้าข้อมูลเท็จสู่ระบบคอมพิวเตอร์นั้น ให้ลงโทษบทหนักสุดตาม พ.ร.ก.กู้ยืมฯ จำคุกจำเลยที่ 2, 5, 8 คนละ 871 กระทงๆ ละ 5 ปี รวมจำคุก 4,355 ปี ให้ปรับบริษัทจำเลยที่ 1 เป็นเงิน 435,500,000 บาท และให้ปรับจำเลยที่ 1-2 รายละ 20,000 ตามความผิด พ.ร.บ.อาหาร จึงรวมโทษปรับบริษัทจำเลยที่ 1 ทั้งสิ้น 435,520,000 บาท ส่วนโทษจำคุกจำเลยที่ 2, 5, 8 เมื่อรวมโทษทุกกระทงความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 91 (2) แล้ว ให้จำคุกจำเลยได้สูงสุดคนละ 20 ปี
ทั้งนี้ ศาลยังพิพากษาให้จำเลยที่ 1, 2, 5, 8 ร่วมกันชดใช้เงินแก่ผู้เสียหาย 871 ราย มูลค่ากว่า 51 ล้านบาทเศษ พร้อมดอกเบี้ยร้อยละ 7.5 ต่อปีนับแต่วันฟ้อง 6 ก.ค. 2560 เป็นต้นไป ริบผลิตภัณฑ์อาหารเสริมของกลางจากรถยนต์ของจำเลยที่ 2 และจ่ายเงินรางวัลแก่เจ้าพนักงานผู้จับกุมจำเลยที่ 2, 5, 8 ร้อยละ 25 ของค่าปรับจำเลยที่ 1 เมื่อคดีถึงที่สุด ให้ยกฟ้องจำเลยที่ 3, 4, 6, 7, 9, 10
ต่อมาน.ส.พสิษฐ์ หรือซินแสโชกุน กรรมการผู้จัดการบริษัทฯจำเลยที่ 2 , นางพารินธรญ์ ผู้ดูแลการเงินและผู้ช่วยการโฆษณาของบริษัท จำเลยที่ 8 ยื่นอุทธรณ์สู้คดี โดยในวันนี้ศาลเบิกตัวจำเลยที่ 2,5,8 มาจากทัณฑสถานหญิงกลาง ส่วนจำเลยที่ 3,4,6,9,10 เดินทางมาฟังคำพิพากษา
ศาลอุทธรณ์ตรวจสำนวนประชุมปรึกษาหารือแล้วเห็นว่า อุทธรณ์ของจำเลยที่ 2 ฟังไม่ขึ้นไม่สามารถหักล้างพยานหลักฐานพยานโจทก์ได้ ส่วนที่อัยการโจทก์ระบุพยานหลักฐานว่า จำเลยที่ 6,9 กระทำผิด ตาม พ.ร.บ.การกู้ยืมเงินที่เป็นการฉ้อโกงประชาชน และนำเข้าข้อมูลเท็จสู่ระบบคอมพิวเตอร์นั้น ศาลอุทธรณ์เห็นว่า เมื่อพิจารณาข้อเท็จจริงเกี่ยวกับการดำเนินธุรกิจของจำเลยที่ 1-2 มีการโฆษณากล่าวอ้างว่าสามารถพาไปเที่ยวต่างประเทศได้ในราคาที่ถูกกว่าความเป็นจริง การทำธุรกิจนี้มีการจัดประชุมและสัมมนาหลายครั้ง ซึ่งจำเลยที่ 6,9 ซึ่งเป็นรองประธานบริษัทและพนักงานบริษัท ก็ได้เข้าร่วมประชุมหลายครั้ง น่าจะทราบว่าการดำเนินธุรกิจของ จำเลยที่ 1-2 ไม่สามารถทำได้ แต่ก็ยังร่วมกันช่วยเหลือให้ดำเนินการต่อไปได้ และหากจำเลยที่ 5,6,8,9 เชื่อมั่นว่าตนเองบริสุทธ์จริง ก็ควรจะเข้ามอบตัวสู้คดีกับพนักงานสอบสวน แต่กลับเดินทางไปที่ จ.ระนองพร้อมกับจำเลยที่ 2 ที่ศาลชั้นต้นยกฟ้องจำเลยที่ 6,9 นั้น ศาลอุทธรณ์ไม่เห็นด้วย เห็นควรแก้ไขเป็นว่า การกระทำของจำเลยที่ 5,6,8,9 เป็นการช่วยเหลือจำเลยที่ 1,2 ให้กระทำความผิด ซึ่งเป็นความผิดกรรมเดียวผิดกฎหมายหลายบท จึงให้ลงโทษบทหนักสุด ตามพ.ร.บ.การกู้ยืมเงินที่เป็นการฉ้อโกงประชาชน กระทงละ 3 ปี 4 เดือน โดยกระทำผิดรวม 871 กระทง จึงจำคุกจำเลยที่ 5,6,8,9 คนละ 2,903 ปี 4 เดือน แต่เมื่อรวมโทษจำคุกตามกฎหมายแล้ว จำคุกสูงสุดคนละ 20 ปี นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น