หมิว สิริลภัส เช็กกล้องวงจรปิด ต้องถอนแจ้งความ หลังเอาผิด ตร.คู่กรณีไม่ได้
“หมิว สิริลภัส กองตระการ” ที่ได้มาเผชิญหน้ากันครั้งแรกกับตำรวจคู่กรณี หลังจากที่หมิวโดนแอบตามย่องเข้าห้องน้ำหญิง พร้อมรอดักถ่ายคลิปในห้องน้ำ ขณะที่ตร.คู่กรณียืนยันว่าทำงานหนักจนเบลอ และปวดหนัก ทำให้ไม่ทันสังเกต ไม่มีเจตนา พร้อมยกมือขอโทษหมิวต่อหน้าสื่อมวลชน
จากกรณีของดาราสาวสุดเซ็กซี่ อย่าง“หมิว สิริลภัส กองตระการ” ที่ได้มาเผชิญหน้ากันครั้งแรกกับตำรวจคู่กรณี หลังจากที่หมิวได้ออกมาเตือนภัยสังคม หลังเจอโรคจิตแอบย่องตามเข้าห้องน้ำหญิง โชคดีไหวตัวทันผิดสังเกตตั้งแต่จอดรถ จึงถือมีด พร้อมรอดักถ่ายคลิปในห้องน้ำ ก่อนประจันหน้า ขณะที่ตร.คู่กรณียืนยันว่าทำงานหนักจนเบลอ และปวดหนัก ทำให้ไม่ทันสังเกต ไม่มีเจตนา พร้อมยกมือขอโทษหมิวต่อหน้าสื่อมวลชน
ทั้งนี้ล่าสุดทาง "หมิว" นักแสดงสาวได้เดินทางมายัง สน.พหลโยธิน พร้อมด้วยคุณแม่ เพื่อมาดูกล้องวงจรปิดจุดดังกล่าว พร้อมให้ปากคำเพิ่มเติม โดยภายหลังที่เจ้าตัวได้ตรวจสอบและให้ปากคำเพิ่มเติมเป็นเวลากว่า 1 ชั่วโมง ทาง "หมิว" ก็ได้เดินลงมาให้สัมภาษณ์กับทางสื่อมวลชนว่า “วันนี้ได้เดินทางมาดูกล้องวงจรปิดว่ารถข้างๆ เป็นรถตำรวจหรือเปล่า มาดูกล้องแล้วรถที่จอดคันข้างๆ ไม่ใช่ระยะเวลาที่หมิวจอดตรงร้านกาแฟและระยะเวลาที่เขามาจอดหน้าห้องน้ำ คือ คนละเวลากัน จอดคนละที่กัน
อันนี้ก็หายสงสัยว่าเขาไม่ได้ตามจากทางไหน และการเอาผิดก็ได้ปรึกษาทางผู้กำกับแล้ว ทั้งเรื่องการทำอนาจารหรือการทำให้ตกใจ ทางนั้นไม่ได้มีพฤติการไม่ได้ทำให้เป็นคดีในการฟ้องได้ในคดีอาญา ไม่ได้มีพฤติการณ์ยกมือถือขึ้นมาถ่าย หรือว่าชะโงกหน้าขึ้นมาดูห้องน้ำของเรา หรือตั้งใจที่จะใช้คำพูดที่ทำให้เราตกใจ เพราะฉะนั้นไม่สามารถเอาผิดในโทษอนาจารได้ แต่ทางวินัยอาจจะมีการเอาผิดจากหัวหน้าผู้บังคับบัญชา
ก็เคลียร์ข้อสงสัยไหม หมิวก็เคลียร์ในส่วนของหมิว แต่เมื่อวานเราได้เล่าในข้อเท็จจริงของเราไปแล้ว หมิวก็ได้เปิดโอกาสให้เขาได้เล่าเรื่องราวในมุมของเขาไปแล้ว เหลือเพียงให้คนในสังคมเป็นคนตัดสินว่าสุดท้ายเรื่องราวจะเป็นยังไง คนที่รู้ความจริงมากที่สุดคือเขาเอง หมิวไม่สามารถว่าเขาทำจริงไหม
หมิวเพิ่งมาดูกล้องวงจรปิด เขาบอกว่าใช้ระยะเวลาแป๊บเดียว แต่การที่เขาลงจากรถไปห้องน้ำ คือเขาลงจากรถไป 23.44 น. ตอนที่หมิวไล่เขาออกมาจากห้องน้ำเวลา 23.46 น. เกือบ 2 นาที เขาบอกรีบ ให้ทุกคนชั่งน้ำหนักกันเอาเอง หมิวว่าเป็นเวลาค่อนข้างนาน ที่คนๆ นึงเข้าไปแชตและไม่ทำอะไรเลย ทั้งๆ ที่ปวดท้องหนักอยู่ ถือว่าหมิวให้ข้อเท็จจริงอีกข้อนึง
สุดท้ายแล้วหมิวไม่สามารถมีคำตอบให้กับเรื่องนี้ได้ และสุดท้ายแล้วคนที่มีคำตอบให้กับเรื่องนี้ได้ คือคนที่กระทำเรื่องนี้ขึ้นมา คือตำรวจคนนั้น ซึ่งหมิวได้บอกเขาไปแล้วว่าเขาไม่ได้ตั้งใจกระทำความผิด หมิวให้อภัยเขาด้วยความบริสุทธ์ใจ แต่ถ้าเขาจงใจจะกระทำการแบบนั้น และตั้งใจมาโกหกหมิว ให้รู้ไว้เลยว่านี่จะเป็นตราบาปติดตัวเขาไปตลอดชีวิต
หมิวว่าเขาคงไม่กล้าออกมาสู้หน้าสังคม ถ้าเขากล้าที่จะทำผิด และกล้าที่จะโกหกต่อหน้าสื่อที่เยอะขนาดนั้น ทุกๆ อาชีพมีศักดิ์ศรีของมันอยู่ และอาชีพนี้มีทั้งเกียรติและศักดิ์ศรีเยอะมาก แต่ว่ามันขึ้นอยู่กับบุคคลว่าจะทำให้อาชีพนี้สูงส่งเพียงไหน หมิวว่าไม่สามารถตัดสินใครได้ นอกจากการกระทำของเขาเอง"
ก่อนที่ สาวหมิว จะเล่าต่อว่า “ถ้ามองในมุมของหมิว หมิวไม่สามารถดำเนินคดีอาญากับเขาได้ เพราะว่าด้วยหลักฐานมันถึงทางตันแล้ว หมิวอยากให้สังคมตัดสินต่อไปแล้วกัน หมิวไม่อยากปักธงว่าอย่าไปตัดสินใครทั้งสิ้น แต่หมิวก็อยากให้สังคมเอาหลักฐานที่เผยแพร่ออกไป แล้วลองชั่งน้ำหนักดู แต่ละคนน่าจะมีวิจารณญาณในการตัดสินใจ ว่าเชื่อทางไหน และวันนี้ได้ลงบันทึกประจำวันแล้วว่าได้ดูกล้องวงจรปิด ไม่ได้มีข้อสงสัยใดๆ และก็ด้วยหลักฐานไม่สามารถเอาผิดทางอาญาได้ ถามว่าโล่งไหม หมิวอาจจะรู้สึกว่ากรุงเทพฯ ไม่ใช่เมืองที่ปลอดภัยสำหรับหมิวอีกต่อไปแล้ว คงจะต้องระมัดระวังตัวมากขึ้น ก็ไม่อยากให้เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นกับใครอีก”