"ประยุทธ์"สั่งเบรก Walk-Inฉีดวัคซีน ฟังข่าวศบค.ที่เดียวไม่ต้องฟังคนอื่น
พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี สั่งยกเลิก Walk-In ฉีดวัคซีน ให้ยึดเเอปฯ หมอพร้อม เป็นหลัก หวั่นปชช.ในกรุงเทพฯมีจำนวนมากเกิดความชุลมุนไปต่อคิว ลั่นให้ฟังข่าวจาก ศบค. ที่เดียวไม่ต้องฟังคนอื่น
18 พ.ค.64 ผู้สื่อข่าวรายงานจากทำเนียบรัฐบาล แจ้งว่า ในที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) ที่มีพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เป็นประธาน มีการหารือกันถึงประเด็นของการ Walk- in ฉีดวัคซีน โดยช่วงหนึ่ง พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวถึงกรณีดังกล่าวว่า ไม่อยากให้ใช้รูปแบบวอล์คอิน เพราะหากประชาชนแห่กันไปพร้อมกันที่จุดเดียว จะเกิดความชุลมุนขึ้นได้ในต่างจังหวัดไม่ค่อยมีปัญหาอะไร แต่ กทม.มีคนจำนวนมาก โดยอยากให้ปรับรูปแบบใหม่ยกตัวอย่างเช่น ให้ไปลงทะเบียน ณ จุดที่ตั้ง ซึ่งจะมีการกำหนดให้ชัดเจน ต้องใช้เวลา
ตอนนี้ให้ยึดแอปฯหมอพร้อมไว้ก่อน ให้คนที่ลงทะเบียนหมอพร้อมและกลุ่มเสี่ยงได้ฉีดก่อน จึงขอให้หน่วยงานไปปรับปรุงและแก้ปัญหาแอพพลิเคชั่นหมอพร้อม เพื่อให้พร้อมใช้ อย่าให้เกิดปัญหาประชาชนลงทะเบียนไม่ได้ จึงอยากให้หยุดพูดเรื่อง Walk in ไปก่อนจนกว่าจะได้มาตรการที่ชัดเจน เดี๋ยวคน Walk in เข้าไปแล้วไม่ได้ฉีดจะโวยวาย อย่างไรก็ตาม หากวัคซีนเพียงพอหรือเหลือค่อยมาจัดการกันใหม่ เรื่องWalk in ละเอียดอ่อน ต้องจัดการดีๆ นอกจากนี้
นอกจากนี้ พล.อ.ประยุทธ์ ยังระบุถึงเรื่องการให้ข่าวที่ไม่ตรงกัน โดยเฉพาะเรื่องวัคซีนว่า ไม่ต้องให้ใครให้ข่าว ให้ ศบค.เป็นคนให้ข่าวแห่งเดียว และอะไรที่ได้ข้อสรุปแล้วถึงค่อยออกมาพูด
ด้านความเคลื่อนไหวในเพจของนายกรัฐมนตรี ประยุทธ์ จันทร์โอชา Prayut Chan-o-cha เปิดเผยว่า “พร้อมฉีดวัคซีนปูพรม เพื่อเดินหน้าประเทศไทย”เเละได้มีแผนการกระจายวัคซีนใน 3 ช่องทางด้วยกัน
สัปดาห์ที่ผ่านมา เราพบว่าสถานการณ์โควิดในกรุงเทพและปริมณฑล ยังอยู่ในระดับที่ทรงตัว แม้ว่าเราจะสามารถลดจำนวนผู้ติดเชื้อในบางพื้นที่ แต่ก็ยังมีคลัสเตอร์ใหม่เกิดขึ้นมาอีก ทำให้ผมต้องเรียกประชุมผู้บริหารกระทรวงสาธารณสุขเป็นการด่วนในช่วงเช้าของเมื่อวานนี้ เพื่อรับทราบข้อมูลล่าสุดและหาทางแก้สถานการณ์ที่เกิดขึ้นให้ได้เร็วที่สุด ซึ่งผลของการประชุมสรุปได้ว่า จะเร่งแก้ไขปัญหาการติดเชื้อในเรือนจำต่างๆ ทั่วประเทศ โดยจะดำเนินการตรวจเชิงรุกให้ได้มากและเร็วที่สุด และจัดตั้งโรงพยาบาลสนามภายในเรือนจำ เพื่อคัดแยกผู้ป่วยออกมารักษา หากมีผู้มีอาการรุนแรง ก็จะนำออกมาเข้ารักษาในโรงพยาบาลเฉพาะทางตามระบบต่อไป โดยเราจะให้การดูแลรักษาผู้ที่ติดเชื้ออย่างดีที่สุดด้วยความเท่าเทียม ซึ่งเรือนจำแต่ละแห่งเป็นระบบปิด จึงมีโอกาสที่จะแพร่กระจายเชื้อสู่ชุมชนได้น้อยมาก และผมได้สั่งการให้เจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องคอยดูแลเข้มงวดในเรื่องนี้ ในช่วงที่มีการระบาด โดยจะไม่ให้มีการเข้าเยี่ยมจากภายนอก จนกว่าสถานการณ์จะดีขึ้น
ส่วนในพื้นที่อื่นๆ ในกรุงเทพและปริมณฑล เราจะยังเดินหน้าต่อไปในแนวทางที่เราทำสำเร็จมาแล้ว คือการระดมตรวจเชิงรุก คัดแยกผู้ป่วย ส่งตัวรักษา และระดมฉีดวัคซีนในพื้นที่เสี่ยง ซึ่งต้องควบคู่ไปกับการบังคับใช้มาตรการป้องกันอย่างเคร่งครัด นั่นคือการใส่แมสก์ทุกครั้งที่ออกจากบ้าน การเว้นระยะห่าง และการตรวจวัดอุณหภูมิในทุกสถานที่ ซึ่งการระบาดในขณะนี้ เกิดขึ้นจากพื้นที่ที่มีการรวมตัวกันอย่างแออัด ผมจึงได้สั่งการให้ทางศบค. เร่งออกตรวจพื้นที่ที่มีโอกาสเสี่ยงเหล่านี้ ไม่ว่าจะเป็นแคมป์คนงานก่อสร้าง โรงงาน และสถานที่อื่นๆในกรุงเทพทั้งหมด ซึ่งสถานที่ที่เกิดการระบาด รวมทั้งในเรือนจำ เราจะใช้แนวทาง Bubble and Seal คือการปิดกั้นการเดินทางเข้าออกของคนในสถานที่นั้นๆ เพื่อไม่ให้เชื้อแพร่กระจายออกไปสู่ภายนอก ซึ่งการที่สถานที่ที่มีการแพร่กระจาย ส่วนใหญ่เป็นพื้นที่ปิด ทำให้ทีมแพทย์เชื่อว่าจะสามารถควบคุมสถานการณ์ได้โดยเร็ว โดยมีการประเมินสถานการณ์อย่างใกล้ชิดวันต่อวัน
แต่ถึงแม้ว่าสถานการณ์ในขณะนี้ยังคงทรงตัว แต่สิ่งที่เราต้องให้กำลังใจเจ้าหน้าที่ทุกคน ก็คือ เรามีจำนวนผู้ป่วยที่หายป่วยในแต่ละวันเป็นจำนวนมาก จนถึงวันนี้มีเกือบ 7 หมื่นคนแล้ว เฉพาะระลอกนี้มีมากกว่า 4 หมื่นคน หรือประมาณครึ่งหนึ่งของผู้ติดเชื้อ ซึ่งเป็นผลมาจากความสามารถของบุคลการทางการแพทย์ของเรา ที่คัดแยกตามอาการและรักษาอย่างดี และการเตรียมความพร้อมด้านอุปกรณ์และเตียงจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง
อีกหนึ่งประเด็นที่สำคัญที่ผมและรัฐบาลให้ความสำคัญเป็นอย่างยิ่ง ก็คือการฉีดวัคซีน ที่ผมได้ประกาศให้เป็นวาระแห่งชาติ ซึ่งทางรัฐบาลมีแผนการกระจายวัคซีนใน 3 ช่องทาง
ช่องทางแรกคือ ผ่านระบบหมอพร้อม ที่มีผู้มาลงทะเบียนแล้วประมาณ 7 ล้านคน สำหรับผู้สูงอายุและผู้ป่วยเรื้อรัง 7 กลุ่มโรค และจะเปิดให้กลุ่มผู้อายุต่ำกว่า 60 ปีลงทะเบียนได้ในวันที่ 31 พฤษภาคมนี้ ซึ่งข้อดีคือ ผู้ลงทะเบียนสามารถจองคิวฉีดวัคซีนที่โรงพยาบาลที่เลือกในวันเวลาที่เลือกเอง และรับรองว่าจะได้ฉีดในวันเวลาดังกล่าว อย่างแน่นอน สามารถเตรียมความพร้อมได้ดี หรืออาจจะเป็นระบบอื่นของแต่ละจังหวัด เช่นภูเก็ตชนะ ก็ได้
ช่องทางที่สอง คือวิธีที่เสริมจากช่องทางระบบหมอพร้อม เพื่อให้ประชาชนได้รับวัคซีนมากที่สุด เร็วที่สุด คือลงทะเบียนที่จุดบริการฉีดวัคซีน หรือ “On-site Registration” ในกรณีที่มีวัคซีนสนับสนุนเพียงพอ ณ จุดบริการนั้น ซึ่งจะมีการพิจารณาจัดเตรียมระบบในช่องทางนี้เพื่อให้เกิดความพร้อมมากที่สุดในการจัดสรร
ช่องทางที่สาม คือการกระจายวัคซีนเชิงยุทธศาสตร์ นั่นคือการจัดสรรฉีดวัคซีนให้กับ กลุ่มเฉพาะ คือประชาชนกลุ่มเฉพาะเสี่ยง กลุ่มที่มีความจำเป็นพิเศษ หรือมีความสำคัญต่อระบบเศรษฐกิจและการดำเนินชีวิตของประชาชน เช่น บุคลากรทางการแพทย์ บุคลากรด่านหน้า อสม. ทหาร ตำรวจ ข้าราชการ พนักงานด้านการบิน ครู อาจารย์ ผู้ขับขี่รถยนต์และจักรยานยนต์สาธารณะ พนักงานรถไฟและรถไฟฟ้า พนักงานในโรงแรม คณะผู้แทนการทูตและองค์กรระหว่างประเทศ นักธุรกิจและนักเรียน นักศึกษาที่ต้องเดินทางไปต่างประเทศ บุคลากรในโรงงาน คนพิการ พนักงานภาคบริการอาหารและยา และกลุ่มอื่นๆ ซึ่งจำเป็นต้องฉีดเพื่อให้การดำเนินชีวิตและเศรษฐกิจไทยสามารถเดินหน้าไปได้โดยไม่สะดุด ซึ่งกลุ่มบุคคลหรือสมาคมใดมีเหตุผลความจำเป็นเร่งด่วน สามารถที่จะยื่นเรื่องให้กับกระทรวงสาธารณสุขพิจารณาเพื่อจัดสรรวัคซีนและจัดเตรียมสถานที่ฉีดต่อไป
เรามีเป้าหมายว่า จะระดมฉีดวัคซีแบบปูพรม ให้กับประชาชนในกรุงเทพ ซึ่งเป็นพื้นที่เสี่ยงสูง และเป็นศูนย์กลางเศรษฐกิจของประเทศ ให้ได้อย่างน้อย 5 ล้านคน หรือ 70% ของประชากรเพื่อสร้างภูมิคุ้มกันหมู่ให้ได้ภายใน 2 เดือน คือเดือนมิถุนายน และกรกฎาคม ซึ่งนอกจากโรงพยาบาลและจุดฉีดหลักแล้ว ยังมีจุดฉีดวัคซีนเสริมอีกอย่างน้อย 25 จุด กระจายทั่วกทม. รวมถึงสถานีกลางบางซื่อ เพื่อให้ประชาชนที่หาเช้ากินค่ำ และแรงงานต่างๆเข้าถึงวัคซีนได้สะดวกและรวดเร็ว
ที่ผ่านมา การวางระบบการฉีดวัคซีนอาจมีปัญหาติดขัดบ้าง หรือเกิดความไม่ชัดเจนบ้าง จากการให้ความสนใจลงทะเบียนเป็นจำนวนมาก และการวางแผนเพื่อให้เกิดประสิทธิภาพตรงเป้าหมายของประเทศมากที่สุด ผมได้ติดตามและเร่งรัดให้มีการปรับปรุงโดยรวดเร็ว ต้องขออภัยที่อาจทำให้เกิดความไม่สะดวกบ้าง แต่ผมขอยืนยันว่าทุกคนในประเทศไทยจะต้องได้รับการฉีดวัคซีนอย่างแน่นอน เรามีวัคซีนที่มีประสิทธิภาพสูง มากเพียงพอ และจะเริ่มให้บริการพร้อมกันทั่วประเทศในต้นเดือนมิถุนายนนี้อย่างแน่นอน โดยจากที่ผ่านมา เราเร่งฉีดให้บุคลากรทางการแพทย์และกลุ่มเสี่ยงไปแล้วมากกว่าสองล้านสามแสนโดส ได้ผลเป็นอย่างดี และไม่มีใครเกิดผลข้างเคียงร้ายแรงเลยแม้แต่คนเดียว จึงขอให้ท่านมีความมั่นใจได้
ในมาตรการการป้องกันการแพร่ระบาดและมาตรการผ่อนคลาย ที่วันนี้มีผลบังคับใช้แล้ว เช่นการอนุญาตให้พื้นที่สีแดงเข้มนั้นสามารถนั่งทานอาหารได้ร้านได้ โดยจำกัดจำนวนคน เป็นความพยายามในการช่วยเหลือพี่น้องประชาชนในระบบธุรกิจร้านอาหาร ซึ่งมีจำนวนมาก และกระทบกับวิถีชีวิตประจำวันของผู้คน โดยผ่านการพิจารณาจากคณะที่ปรึกษาอย่างรอบคอบ และต้องมีการบังคับใช้มาตรการป้องกันโรคอย่างเข้มงวด เช่นการจำกัดคนไม่เกิน 1 ใน 4 และเว้นระยะห่าง หากพบว่าร้านใดไม่ดำเนินการตามมาตรการ จะสั่งปิดในทันที หรือมีการทบทวนมาตรการ จึงขอให้เจ้าของร้านอาหารทุกร้านในกรุงเทพและปริมณฑลดำเนินการอย่างเข้มงวด และเจ้าหน้าที่คอยดูแลควบคุมอย่างใกล้ชิดด้วย
นอกจากนี้ ผมยังได้สั่งการให้กระทรวงกลาโหม และกองทัพไทย ควบคุมการลักลอบเข้าประเทศจากชายแดนอย่างเข้มงวดสูงสุด หากพบว่ามีเจ้าหน้าที่หรือบุคคลใดที่แสวงหาผลประโยชน์บนความเสี่ยงของประเทศชาติ ต้องลงโทษให้หนักที่สุดโดยไม่มีการยกเว้น
ผมขอเน้นย้ำว่าในวันนี้ การฉีดวัคซีน เป็น “วาระแห่งชาติ” ที่จะต้องเร่งดำเนินการ เพื่อให้ทุกอย่างขับเคลื่อนต่อไปได้ นโยบายของผม คือเราต้องเดินหน้าปูพรมฉีดวัคซีนเข็มแรกให้เร็ว และให้ถึงประชาชนจำนวนมากที่สุดเท่าที่จะทำได้ หลังจากได้รับความความเห็นของประชาชนจำนวนมาก ผมจึงได้ตัดสินใจว่า เราจะไม่รอให้คนวัยใดวัยหนึ่ง กลุ่มใดกลุ่มหนึ่ง ได้รับวัคซีนจนครบก่อน จึงค่อย เปิดให้คนกลุ่มอื่นๆได้รับวัคซีน แต่เราจะปรับแผนการเดินหน้าประเทศ ด้วยการเปิดโอกาสให้ทุกคนที่พร้อมฉีดวัคซีน ไม่ว่าจะเป็นวัยใด เข้าถึงวัคซีนได้ โดยเฉพาะวัยทำงาน เพื่อปกป้องคนทำมาหากิน คนที่เป็นกำลังหลักในการหาเลี้ยงคนในบ้าน ให้ออกจากบ้านไปทำงาน ทำมาหาเลี้ยงชีพ และเดินหน้าชีวิตกันต่อไปได้
เพราะเราจะเอาชนะโควิดได้ก็ด้วยการเดินหน้าไปพร้อมๆกัน โดยไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง ช่วยกันทำหน้าที่ของแต่ละคนให้ดีที่สุด ดูแลซึ่งกันและกันให้ดีที่สุด เพื่อขับเคลื่อนประเทศไทยให้ไปต่อได้ เราจะสู้ไปด้วยกันประเทศไทยต้องดีขึ้น ด้วยความร่วมมือร่วมใจ ความรักสามัคคี ของคนไทยด้วยกัน
เพราะเราทุกคนก็คือ ทีมประเทศไทย
ที่มา
ประยุทธ์ จันทร์โอชา Prayut Chan-o-cha