หมอแจงเคส "น้องน้ำค้าง" กลายเป็นเจ้าหญิงนิทรา ไม่เกี่ยวกับฉีดวัคซีนโควิด

04 มิถุนายน 2564

นายแพทย์สาธารณสุขจังหวัดนครราชสีมา ชี้แจงเคส "น้องน้ำค้าง" ฉีดวัคซีนกลายเป็นเจ้าหญิงนิทรา เกิดจากภาวะผิดปกติของหลอดเลือดในสมอง ไม่เกี่ยวกับฉีดวัคซีนโควิด-19

จากกรณีที่ นางสาวทิศกร พันธ์สำโรง หรือ น้องน้ำค้าง อายุ 29 ปี ที่ได้เข้ารับการฉีดวัคซีนโควิด เมื่อวันที่ 24 พ.ค.ที่ผ่านมา ที่ห้างสรรพสินค้าชื่อดังของเมืองโคราช และภายหลังฉีดไป 2 วัน พบอาการผิดปกติ จนต้องนำส่งรักษาต่อที่ รพ.มหาราชนครราชสีมา ซึ่งผลเอกซเรย์พบมีเลือดออกในโพรงสมองและมีความผิดปกติในเส้นเลือดสมอง บริเวณรอยต่อระหว่างเส้นเลือดแดงกับเส้นเลือดดำ ขณะนี้อาการยังโคม่า เป็นเจ้าหญิงนิทรา ต้องอยู่ในความดูแลของแพทย์อย่างใกล้ชิด

หมอแจงเคส \"น้องน้ำค้าง\" กลายเป็นเจ้าหญิงนิทรา ไม่เกี่ยวกับฉีดวัคซีนโควิด

 

ล่าสุด เมื่อวันที่ 3 มิ.ย. 64 นพ.นรินทร์รัชต์ พิชญคามินทร์ นายแพทย์สาธารณสุขจังหวัดนครราชสีมา เปิดเผยว่า ทางกรมควบคุมโรคได้เข้ามาตรวจสอบพบว่าไม่เกี่ยวข้องกับการฉีดวัคซีนโควิด เพราะจากผลการตรวจ CT Scan , MRI และซักฐานประวัติเดิม  น้องน้ำค้างมีภาวะผิดปกติของหลอดเลือดในสมองเอวีเอ็ม  คือภาวะที่มีความผิดปกติของเส้นเลือดในสมองคือระบบเส้นเลือดแดง กลายเป็นรอยโรค ที่เป็นกลุ่มเส้นเลือดผิดปกติไปเชื่อมต่อไปโดยตรงกับระบบเลือดดำ โดยไม่ผ่านระบบหลอดเลือดฝอย ทำให้เลือดบริเวณนั้นมีการไหลที่รุนแรงและมีความต้านทานต่ำ จึงมีโอกาสเกิดการปริแตกและมีเลือดออกบริเวณนั้นได้ง่าย ซึ่งจะนำไปสู่ความพิการหรือเสียชีวิตได้ โดยปกติเป็นโรคที่เป็นมาตั้งแต่เกิด โดยอาจพบความเกี่ยวข้องกับโรคที่มีความผิดปกติทางพันธุกรรมอื่น

โดยแนวทางการรักษา ทีมแพทย์ต้องดูอาการวันต่อวัน ซึ่งได้ทำการผ่าตัดเอาก้อนเลือดออก และให้ยาลดอาการสมองบวม เหมือนกับโรคหลอดเลือดสมองทั่วไป แต่เคสนี้เป็นภาวะผิดปกติของหลอดเลือดในสมอง จึงทำให้มีเลือดออกมากกว่า และตำแหน่งที่เกิดใกล้กับโพรงสมอง ซึ่งกรมควบคุมโรคสรุปว่าอาการที่เกิดขึ้นไม่เกี่ยวกับการฉีดวัคซีนต้านโควิด 19 อย่างแน่นอน


สำหรับการเยียวยาช่วยเหลือต้องอาศัยแนวทางการช่วยเหลือของสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ หรือ สปสช. ตามมาตรา 41 พ.ร.บ.หลักประกันสุขภาพแห่งชาติ พ.ศ. 2545 เป็นการคุ้มครองการรักษากรณีเกิดเหตุสุดวิสัยทางการแพทย์ขึ้น ซึ่งไม่ได้มีสาเหตุมาจากการฉีดวัคซีน ซึ่งการคุ้มครองตามมาตรานี้จะนำมาช่วยดูแลและช่วยเหลือผู้ที่ได้รับความเสียหายจากการรักษาพยาบาลและบริการสาธารณสุขของหน่วยบริการในเบื้องต้น เพื่อช่วยบรรเทาความเดือนร้อนจากความเสียหายที่เกิดขึ้น และยังช่วยลดความขัดแย้งในระบบสาธารณสุขได้ด้วย