จับตายกระดับล็อกดาวน์ "ปิดทุกกิจการเสี่ยงทั้งประเทศ" เข้ม กทม.และปริมณฑล
จับตายกระดับล็อกดาวน์ "ปิดทุกกิจการเสี่ยงทั้งประเทศ" แบบ 100% เข้ม กทม.และปริมณฑล ล็อกและซีล 10 จังหวัดสีแดงเข้ม ทำงานที่บ้าน เปิดแบบวันเว้นวัน คุมการเดินทางออกนอกบ้านอย่างเด็ดขาด
จากกรณีตัวเลขผู้ติดเชื้อโควิด-19 พุ่งทะลุหลักหมื่นในวันที่ 17 กรกฎาคม 2564 ทำให้ทางศปก.ศบค. ได้เรียกประชุมด่วนเพื่อพิจารณาล็อกดาวน์ และเพิ่มเติมมาตรการควบคุมโควิด-19 โดยที่ประชุมมีตัวแทนจากหลายหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง อาทิ แพทย์ และสาธารณสุข ซึ่งได้เสนอลดการเคลื่อนที่ให้มากขึ้น และปิดกิจกรรม กิจการทุกอย่างในพื้นที่กรุงเทพมหานครรวมถึงปริมณฑล แต่ให้ยกเว้น การขนส่งสินค้า อาหาร ยา วัคซีน สื่อสาร และสาธารณูปโภค
นอกจากนี้ยังมีรายงานเมื่อวันที่ 16 ก.ค.ที่ผ่านมา ที่ประชุมศูนย์บริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดโควิด-19 (ศบค.) ที่มี พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และรมว.กลาโหม ในฐานะผู้อำนวยการ ศบค.เป็นประธาน ซึ่งในที่ประชุมได้ถกถึงเรื่องประเด็นการปิดประเทศในหลายระดับ เช่น ปิดกิจการเสี่ยงทั้งประเทศ หรือปิดแค่ 3 ใน 4 หรือครึ่งประเทศ
ส่วนอีกระดับคือให้ล็อกและซีล 10 จังหวัดสีแดงเข้ม ยกตัวอย่างอาจต้องเปิดเฉพาะกิจการที่จำเป็นแบบวันเว้นวัน หรือระบุวันเปิดที่ชัดเจน จันทร์-พุธ-ศุกร์ เพื่อบรรลุเป้าหมายคุมโรค กดยอดผู้ติดเชื้อให้เหลือ 1,000-2,000 คน/วัน
รวมทั้งคุมการเดินทางออกนอกบ้านเด็ดขาด หรือออกให้น้อยที่สุด ซึ่งนายกรัฐมนตรีจะหารือรายละเอียดกับที่ปรึกษากลุ่มแพทย์ แล้วจะจัดทำมาตรการประกาศอย่างเป็นทางการ ส่วนมาตรการเยียวยาจะนำเสนออีกครั้ง
ที่ประชุมศบค.นัดพิเศษ ยังมอบหมายให้กระทรวงสาธารณสุขยกระดับมาตรการเพิ่มขึ้น เนื่องจากการแพร่ระบาดของโควิด-19 ขยายเป็นวงกว้างครบทั้ง 77 จังหวัดแล้ว นอกจากนี้บางจังหวัดพบตัวเลขผู้ติดเชื้อสูงขึ้นจำนวนมาก ดังนั้นจึงได้มอบหมายให้กระทรวงสาธารณสุข จัดทำมาตรการยกระดับขยายให้ครอบคลุมทั่วประเทศ หรือจังหวัดที่พบผู้ติดเชื้อจำนวนมาก
ส่วนกรณีสถานประกอบการทำระบบ Seal Route คือ ให้พนักงานพักในสถานประกอบการ แต่จะต้องขออนุญาตและแจ้งหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับทราบ และรัฐควรจัดการให้ชัดเจน ทั้งมาตรการตรวจหาเชื้อ รักษา และสนับสนุนการดำรงชีพ
ขอขอบคุณข้อมูลจาก Tnews