"หมอธีระ"กางข้อมูล นโยบายและมาตรการที่ดำเนินการมานั้นไม่มีประสิทธิภาพ
รศ.นพ.ธีระ วรธนารัตน์ อาจารย์คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ได้ออกมาโพสต์ข้อความสถานการณ์โควิด-19 ทั่วโลกและในประเทศไทย ระบุว่า
รศ.นพ.ธีระ วรธนารัตน์ อาจารย์คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ได้ออกมาโพสต์ข้อความสถานการณ์โควิด-19ทั่วโลกและในประเทศไทย ระบุว่า
14 สิงหาคม 2564
ยืนยันว่านโยบายและมาตรการที่ดำเนินการมานั้นไม่มีประสิทธิภาพพอที่จะจัดการกับโรคระบาดในประเทศ
ลองมาวิเคราะห์ดูอัตราการเพิ่มของจำนวนเคสติดเชื้อสะสมในประเทศไทยในช่วงที่ผ่านมา (ขอบคุณรศ.ดร.พญ.ภัทรวัณย์ วรธนารัตน์)
จาก 100,000 ไป 200,000 คน ใช้เวลา 30 วัน
จาก 200,000 ไป 300,000 คน ใช้เวลา 22 วัน
จาก 300,000 ไป 400,000 คน ใช้เวลา 11 วัน
จาก 400,000 ไป 500,000 คน ใช้เวลา 8 วัน
จาก 500,000 ไป 600,000 คน ใช้เวลา 6 วัน
จาก 600,000 ไป 700,000 คน ใช้เวลา 5 วัน
จาก 700,000 ไป 800,000 คน ใช้เวลา 5 วัน
และหากรวมยอดพรุ่งนี้ก็จะเพิ่มจาก 800,000 ไป 900,000 คน โดยใช้เวลา 4 วัน
พอมาดูอัตราการเพิ่มเป็นสองเท่า หรือ doubling time จะพบว่ามีแนวโน้มสั้นลงชัดเจนจาก 200,000 --> 400,000 --> 800,000 ใช้เวลาลดลงจาก 33 เหลือเพียง 24 วัน
ต่อให้ตัวเลขที่นำเสนออย่างเป็นทางการจะดูดีอย่างไร แต่ธรรมชาติของการระบาดจะเป็นไปตามที่มันเป็น ถ้าการระบาดเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง และตัดวงจรการระบาดไม่ได้ สุดท้ายจะต้องเห็นการเจ็บป่วยเพิ่มขึ้นเร็ว จำนวนผู้ป่วยรุนแรงและวิกฤติ และจำนวนการเสียชีวิตก็จะเพิ่มขึ้นตามสัดส่วนเช่นกัน
แม้แต่นิวซีแลนด์ยังออกข่าวยืนยันเรื่องการเน้นนโยบายเข้มข้นเรื่องการเข้าสู่ประเทศ ล็อคดาวน์เคร่งครัดทันเวลา และเร่งตรวจคัดกรองหากเจอเคสเพื่อแยกกักตัวโดยเร็ว แม้จะเจอเคสจำนวนน้อยเพียงใดก็จะจัดการเพื่อตัดวงจรการระบาด เพราะได้เห็นบทเรียนจากประเทศอื่นๆ ว่า การที่ควบคุมไม่เข้มข้น ต่อให้มีวัคซีนฉีด แต่ไม่ครอบคลุมหรือไม่มีประสิทธิภาพเพียงพอ ก็จะทำให้การเปิดผ่อนคลายมาตรการเศรษฐกิจเร็วเกินไปนั้นนำไปสู่หายนะจากการระบาดหนักได้
หันกลับมาดูของไทย การเปิดเกาะ เปิดท่องเที่ยว และจะเปิดประเทศ ท่ามกลางสถานการณ์ระบาดที่กระจายทั่ว และยังไม่สามารถตัดวงจรการระบาดได้นั้น จะมีแนวโน้มที่จะนำไปสู่ศึกที่สู้ไม่จบจนหมดแรงได้ในที่สุด
ปรับเปลี่ยนนโยบายเถิดครับ
ใช้ความรู้ที่ถูกต้อง เชื่อในสิ่งที่ควรเชื่อ ทำในสิ่งที่ควรทำ
ด้วยรักและห่วงใย
ขอขอบคุณข้อมูลจาก Tnews