คลัสเตอร์นักเรียน ผู้ติดเชื้อพุ่ง สั่งกักตัวเด็ก-บุคลากรกว่า 600 ชีวิต

นายชัยธวัช เนียมศิริ ผู้ว่าราชการจังหวัดเลย พร้อมด้วย นายแพทย์ปรีดา วรหาร นายแพทย์สาธารณสุขจังหวัดเลย ร่วมแถลงข่าวชี้แจงและการป้องกันหลังเกิดคลัสเตอร์ในโรงเรียนราชประชานุเคราะห์ 52 อ.วังสะพุง ซึ่งเป็นโรงเรียนแบบกิน-นอน ประจำ โดยพบนักเรียนในโรงเรียนติดเชื้อโควิด 39 ราย ประกาศเป็นพื้นที่ป้องกันพิเศษ พร้อมมีคำสั่งกักตัวนักเรียน และครู และบุคลากรในโรงเรียนกว่า 600 คน

 

 

 

นพ.ปรีดา วรหาร กล่าวว่า สถานการณ์การเกิดคลัสเตอร์ในโรงเรียนราชประชานุเคราะห์ 52 อ.วังสะพุง เมื่อวันที่ 19 ก.ย. ที่ผ่านมา พบมีผู้ติดเชื้อ 26 ราย และวันนี้มีนักเรียนติดเชื้อเพิ่มขึ้นอีก  โดยมีผลที่ยืนยันอีก 13 ราย รวมเป็นมีนักเรียนที่ติดเชื้อโควิด 19 จำนวน 39 ราย โดยรายแรกที่เกิดคลัสเตอร์เป็นนักเรียนชายและนักเรียนหญิง ชั้นประถมปีที่ 5 และปีที่ 6 เนื่องจากมีผู้ปกครองรับกลับบ้านไปพบญาติมาจากกรุงเทพฯ ภายหลังพบญาติติดเชื้อโควิด-19 นักเรียนทั้งคู่ได้รับการตรวจที่รพ.วังสะพุงเมื่อวันที่ 16 ก.ย. และทราบผลเมื่อวันที่ 18 ก.ย. โดยผลสรุปบุคลากรที่มีผู้เกี่ยวข้องทั้งหมด ทั้งครู และนักเรียน ที่ต้องได้รับการตรวจจำนวน 610 ราย และคาดว่าพรุ่งนี้จะมีผลทยอยออกมาอีก

 

อ่านข่าวอื่นเพิ่มเติม :

- คลัสเตอร์นักเรียน มีผู้เสี่ยงเกือบทั้งโรงเรียน เชื้อระบาดลาม 2 หมู่บ้าน

- โรงเรียน ใน จ.เลย เจอนักเรียนติดโควิด กลายเป็นคลัสเตอร์ใหม่

- โควิดลามหนัก คลัสเตอร์ตลาดสุรนารี ลาม 12 อำเภอ

หลังจากนั้นได้ดำเนินการเข้าไปควบคุมพื้นที่ของโรงเรียนราชประชานุเคราะห์ 52 โดยได้ประกาศเป็นพื้นที่การควบคุมพิเศษ ปิดการเข้าออก ส่วนของผู้ป่วยได้แยกออกมารักษา ส่วนที่มีความเสี่ยงก็มีการติดตั้งศูนย์ CI ภายในโรงเรียน โดยได้มีการจัดเตียงไว้ 200 เตียง ส่วนที่มาอาการมากก็นำมารักษาตัวที่โรงพยาบาลวังสะพุง ที่มีจำนวน 6 คน บุคลากรพร้อมนักเรียนทุกคนต้องได้รับการปูพรมตรวจแบบหาเชื้อ เพราะเชื้ออาจซ่อนเร้นอยู่หรือไม่ 

 

โดยมีการแยกการกักตัวไม่น้อยกว่า 14 วัน โรงเรียนก็ให้หยุดการเรียนการสอนแบบ ON SITE ทางคณะกรรมการควบคุมโรคจังหวัดเลย ได้จัดอุปการณ์ทางการแพทย์ โดยได้โยกอุปกรณ์ทางการแพทย์ทั้งหมดที่เราไม่ได้ใช้ในส่วนโรงพยาบาลสนามในสนามอื่นๆ ให้นำมาที่โรงเรียนราชประชานุเคราะห์ 52 ทั้งหมด จากเหตุการณืต้องเฝ้าดูภายใน 14 วัน ว่าจะมีผู้ติดเชื้อเพิ่มขึ้นอีกหรือไม่

 

ขอขอบคุณข้อมูลจาก Tnews