สุดพีค! เพื่อนสนิทพบร่างคนขับเรือคนแรก ช่วยหาทุกวัน แต่ผ่านมาเจอตอนไปธุระ
เผยเพื่อนสนิทที่เจอร่างคนแรก ช่วยหามาตลอดแต่วันนี้ตนไม่ได้ช่วยหาเพราะต้องไปธุระ กลับบังเอิญมาเจอร่างคนขับเรือล่มวัดพนัญเชิง
วันที่ 2 ตุลาคม 2564 พ.ต.อ.โชคชัย คณะเจริญ ผกก.สน.บวรมงคล ได้รับแจ้งพบร่างคนขับเรือผู้เสียชีวิตชายลอยน้ำคว่ำหน้าอยู่ในแม่น้ำเจ้าพระยา ช่วงบริเวณใต้สะพานพระราม 8 แขวงบางยี่ขัน เขตบางพลัด กทม.คาดว่าเป็นคนขับเรือล่มวัดพนัญเชิงที่ได้ทำการค้นหาอยู่
ลักษณะของร่างดังกล่าวสวมเสื้อยืดคอปกสีเหลือง นุ่งกางเกงขาสั้นสีดำ ซึ่งมีลักษณะคล้ายคนขับเรือลากจูงสินค้า ที่ล่มบริเวณท่าน้ำใกล้วัดพนัญเชิง เมื่อวันที่ 29 ก.ย.ผลที่ผ่านมา จึงสั่งการให้เจ้าหน้าที่สายตรวจรีบรุดไปตรวจสอบพร้อม หน่วยกู้ภัยมูลนิธิร่วมกตัญญู
โดยเมื่อเจ้าหน้าที่เดินทางไปถึง พบว่ากระแสน้ำ ในแม่น้ำเจ้าพระยา ไหลเชี่ยวมากร่างชายดังกล่าว จึงถูกพัดตามกระแสน้ำ ไปอีกประมาณ 1 กิโลเมตร จนเจ้าหน้าที่ต้องไปดักนำร่างผูกไว้ที่ริมตลิ่งท่าน้ำ ศิริราช ก่อนจะสามารถนำร่างขึ้นจากน้ำได้ในเวลาต่อมา
ทั้งนี้คนขับเรือยนต์ซึ่งเป็นผู้พบร่างคนแรก เปิดเผยว่า ตนเป็นเพื่อนสนิทกับคนขับเรือรายนี้ และที่ผ่านมาก็ได้ช่วยตามหาร่างมาโดยตลอด แต่วันนี้ไม่ได้ช่วยค้นหา เนื่องจากต้องไปรับเรือที่บางนา
-กู้ร่างคนขับเรือได้แล้ว ลูกสาวร้องโฮ พ่อใส่นาฬิกาที่ซื้อให้ติดตัวตลอด!
-เจอแล้ว ร่างคนขับเรือล่มวัดพนัญเชิง!
-กู้เรือล่มวัดพนัญเชิง ยังล้มเหลวใช้เรือยนต์ 7 ลำ ลากไม่ขึ้นแถมเชือกขาด!
แต่ด้วยความบังเอิญโดยขณะขับเรือมาจาก จ.พระนครศรีอยุธยา มาถึงบริเวณตอม่อสะพานพระรามแปดก็พบร่างผู้เสียชีวิตลอยติดอยู่ จึงโทรแจ้งเจ้าหน้าให้รับทราบก่อนที่ร่างจะลอยไปตามกระแสน้ำ จึงได้ขับเรือตาม พร้อมแจ้งเจ้าหน้าที่เป็นระยะ กระทั่งมาถึงท่าเรือ รพ.ศิริราช เจ้าหน้าที่จึงใช้เชือกคล้องร่างเอาไว้
ต่อจากนั้นลูกสาวได้มายืนยันตัวตนพบว่าเป็นพ่อของคนซึ่งเป็นคนขับเรือลำที่ล่มไป โดยลูกสาวร้องไห้ออกมาเสียงดังเพราะเห็นนาฬิกาข้อมือที่พ่อใส่ซึ่งเธอบอกว่าเป็นของขวัญที่เธอซื้อให้
โดยตอนแรกเธอเห็นแล้วพูดขึ้นมาว่า "นาฬิกานั้นหนูซื้อให้ พ่อใส่ตลอดเวลาเลยเหรอ พ่อรักหนูมาก ตอนนี้ใจจะขาดแล้ว" จากนั้นได้พูดอีกว่า "นาฬิกานี้หนูซื้อให้พ่อตั้งแต่ตอนที่พ่อลำบาก พ่อบอกว่าอยากได้ ราคา 4,000 บาท หนูซื้อให้ในวันเกิดพ่อ" สร้างความสะเทือนใจแก่ผู้คนที่อยู่ในเหตุการณ์เป็นอย่างมาก
ขอขอบคุณข้อมูลจาก Tnews