เฟซบุ๊ก รีแบรนด์อาจต้องเสียพนักงานหัวกระทิ นับพันราย
นักวิเคราะห์มอง เฟซบุ๊ก เปลี่ยนชื่อบริษัท(รีแบรนด์)เป็น Meta สะท้อนความพยายามสร้างโลกเสมือนจริง ที่เรียกว่า “เมทาเวิร์ส” แต่อาจไม่ช่วยรักษาคนเก่งหรือดึงดูดคนใหม่เข้ามาทำงาน
ตามที่ มาร์ก ซักเคอร์เบิร์ก ประธานคณะเจ้าหน้าที่บริหาร (ซีอีโอ) เฟซบุ๊ก ยืนยันการเปลี่ยนชื่อบริษัทเป็น เมทา (Meta) เมื่อวันพฤหัสบดี (29 ต.ค.) ตามเวลาท้องถิ่น บรุคส์ ฮอลทอม อาจารย์ด้านธุรกิจมหาวิทยาลัยจอร์จทาวน์ของสหรัฐ ผู้เชี่ยวชาญด้านพัฒนาทรัพยากรมนุษย์และทุนทางสังคม ตั้งข้อสังเกตว่า การทำเช่นนี้ดูเหมือนเป็นการปกป้องแบรนด์ “เพราะเฟซบุ๊กก้าวพลาดหลายเรื่อง สังคมวิจารณ์แบรนด์หนักมาก คนที่รู้เรื่องจะไม่หลงกลการรีแบรนด์นี้”
ทั้งนี้ ช่วงไม่กี่สัปดาห์ที่ผ่านมา ซัคเคอร์เบิร์ฏและเฟซบุ๊กถูกตรวจสอบหนักเรื่องการจัดการข้อมูลบิดเบือนและข้อความสร้างความเกลียดชัง (เฮตสปีช) ทั้งยังอาจเป็นอันตรายต่อเด็กและวัยรุ่น ซึ่งการถูกตรวจสอบล่าสุดเกิดขึ้นหลังจาก ฟรานเซส เฮาแกน อดีตพนักงานเฟซบุ๊ก นำเอกสารภายในมาแฉกับสื่อว่า เฟซบุ๊กรู้ดีเรื่องที่สินค้าและบริการของตนอาจเป็นอันตรายได้ แต่การแก้ไขยังมีปัญหา
ตอนประชุมแถลงรายได้บริษัทเมื่อวันจันทร์ (25 ต.ค.) ซัคเคอร์เบิร์กปฏิเสธข้ออ้างเรื่องเอกสาร กล่าวว่า “พวกเขาสร้างภาพป้ายสีบริษัทของเรา” และปัญหาที่เฟซบุ๊กเจอก็สะท้อนภาพสังคม แต่ข่าวล่าสุดเรื่องการรีแบรนด์ซึ่งถูกวิจารณ์ไปแล้วว่าแค่เบี่ยงกระแสข้อกล่าวหาต่อเฟซบุ๊ก ถ้าไม่เป็นตัวกระตุ้นให้พนักงานลาออกก็เกิดขึ้นในเวลาไล่เลี่ยกัน
“เฟซบุ๊กมีแต่คนเก่งๆ และคู่แข่งในตลาดก็กำลังจับจ้องคนเก่งเหล่านั้น การแข่งขันสูงมาก คุณมั่นใจได้เลยว่าบริษัททั้งหลายกำลังเตรียมตัวจีบคนที่คิดจะลาออก นี่เป็นช่วงเวลาไม่ปลอดภัยสำหรับเฟซบุ๊กถ้ามองในมุมคนเก่ง”
มาตรวัดหนึ่งของการเป็นแบรนด์ผู้ประกอบการตามการจัดอันดับของเว็บไซต์ Glassdoor สถานะการเป็นบริษัทที่คนอยากทำงานด้วยมากที่สุดของเฟซบุ๊กลดลงมาหลายปีแล้ว จากที่เคยครองอันดับ 1 ในปี 2561 ตกมาอยู่อันดับ 7 ในปี 2562 หลังมีข่าวบริษัทที่ปรึกษาด้านการเมือง “เคมบริดจ์ อนาลิติกา” เข้าถึงข้อมูลผู้ใช้เฟซบุ๊ก 87 ล้านคนอย่างไม่เหมาะสม ปีก่อนเฟซบุ๊กครองอันดับ 23 บริษัทที่ผู้คนอยากทำงานด้วย ก่อนจะไต่มาอยู่อันดับ 11 ในปีนี้
ไม่กี่เดือนก่อน เฟซบุ๊กเป็นบริษัททรงอิทธิพลรายแรกๆ ที่ประกาศว่า พนักงานทุกคนสามารถขอทำงานเต็มเวลาจากทางไกลได้หลังโควิด พร้อมเลื่อนแผนกลับเข้าออฟฟิศไปจนถึงปี 2565
ฮอลทอม กล่าวว่า การรีแบรนด์อาจช่วยส่งเสริมการเก็บรักษาและว่าจ้างพนักงานเชี่ยวชาญพิเศษสูงที่เกี่ยวข้องกับงานเมทาเวิร์สไว้ได้ “เพราะเป็นโอกาสในการทำงานที่เป็นการปฏิวัติจริงๆ ด้วยงบประมาณมหาศาล” แต่ไม่น่าจะสร้างผลกระทบด้านบวกต่อสาธารณชนหรือกับพนักงานที่ไม่เกี่ยวกับงานเมทาเวิร์สได้ “ผมคิดว่าเฟซบุ๊กกำลังอยู่ในความเสี่ยงครั้งใหญ่”