สาวทนไม่ไหว ประกาศตามหาคนถ่ายรูปแจ้ง "ล้อล้น" ลั่นมีสิทธิ์อะไรมาถ่าย

กลายเป็นประเด็นที่มีคนวิพากษ์วิจารณ์เป็นจำนวนมากเมื่อเพจ @RedSkullxxx ในทวิตเตอร์ได้แชร์เรื่องราวของหญิงสาวรายหนึ่งที่ได้ประกาศตามหาตัวคนถ่ายรูปรถกระบะส่งให้ขนส่ง

 

โดยระบุว่า "ตามหาผู้ที่ถ่ายรูปรถของตนเองไปร้องเรียน "ประกาศตามหาคนที่ถ่ายรูปรถ ผิดกฎหมายนะคะ ถึงคุณจะเอาไปร้องเรียนขนส่งหรืออะไรก็ตามแต่ อยากได้เงิน 500 เหรอคะ มาเอาค่ะ ทักแชทมา พร้อมขึ้นโรงพัก ด้วยกันค่ะ เราก็จะแจ้งข้อหาคุณ มีสิทธิ์อะไร มาถ่ายรถคนอื่นไปร้องเรียนคะ??? มันล้น จนไปเหยียบ...คุณเหรอคะ ประกาศตามหา พร้อมดำเนินคดี (ล้นต้องบานกว่านี้ค่ะ บ้าน..ไม่เรียกล้อล้น)"

 

• อธิบดีขนส่ง แจงแล้ว ใช้รถทหารวิ่งแทนรถบรรทุกได้ "ไม่ผิด พ.ร.บ.ขนส่งทางบก"
• ขนส่งทางบก ลุยใช้ระบบตัดแต้มใบขับขี่ เริ่ม 1 ธ.ค. นี้
• กองทัพบก พร้อมเเล้ว รถทหารสเเตนบายด์3,700คัน รอรัฐบาลสั่งช่วยขนส่งสินค้า

ทั้งนี้ทางเพจ สายตรงกฎหมาย เคยออกมาโพสต์ถึงเรื่องกฎหมายเกี่ยวกับ "ล้อล้น" ไว้ว่า 

ล้อล้นเท่าไร ถึงจะไม่ผิดกฎหมาย?

สำหรับคนที่ไปเปลี่ยนล้อมาแล้วล้อมันล้นออกมานอกตัวถังรถ ในส่วนนี้จะมีประเด็นทางกฎหมายที่อาจจะทำให้มีความผิด ดังนี้

1. รถที่จะจดทะเบียนได้ ขอบยางด้านนอกสุดต้องยื่นไม่เกินกว่าตัวถังรถ ถ้ามันยื่นเกินตัวถังรถ แสดงว่าคุณไปเปลี่ยนแปลงส่วนหนึ่งส่วนใดของรถ ซึ่งกฎหมายกำหนดว่า ห้ามมิให้เปลี่ยนแปลงส่วนใดส่วนหนึ่งให้ผิดไปจากรายการที่จดทะเบียนไว้และใช้รถนั้น หากฝ่าฝืนจะมีความผิดมีโทษปรับไม่เกิน 2,000 บาท (ข้อหาดัดแปลงสภาพรถ)

2. เมื่อจดทะเบียนแล้ว กฎหมายกำหนดว่า หากมีส่วนควบหรืออุปกรณ์ไม่ถูกต้อง ห้ามใช้รถนั้น กรณีนี้ เมื่อจดทะเบียนแล้ว แต่คุณไปเปลี่ยนแปลงจนมียางล้นตัวถัง ซึ่งไม่ถูกต้องตามกฎหมาย จึงต้องห้ามใช้รถ หากเอามาใช้ก็ผิดกฎหมาย

3. กฎหมายที่เกี่ยวกับส่วนควบและเครื่องอุปกรณ์เค้าบอกว่า บังโคลนที่ล้อทุกล้อจะต้องมีความกว้างไม่น้อยกว่าขนาดของยางรถ ดังนั้น ถ้าล้อมันยื่นออกมานอกบังโคลน จึงเป็นเรื่องที่เข้าข่ายผิดกฎหมาย เพราะใช้รถที่มีส่วนควบหรืออุปกรณ์ไม่ถูกต้อง มีโทษปรับไม่เกิน 2,000 บาท

4. การแต่งรถล้อล้น ยังเสี่ยงเป็นความผิดในข้อหา นำรถที่มีสภาพอาจเกิดอันตรายแก่ผู้ใช้หรือประชาชนมาใช้ในทางเดินรถ เพราะกรณีที่ล้อล้นตัวถังออกมา อาจทำให้ผู้ขับขี่กะระยะผิด หรือล้อไปเกี่ยวหรือไปชนรถคนอื่นได้ มีโทษปรับไม่เกิน 500 บาท

 

ขอบคุณข้อมูลจาก Tnews