ต้นตอสึก? ย้อนฉากเรียกน้ำตา "2พส." ออกมาร้องไห้กลางไลฟ์สด!
เรียกว่าน่าจะรอยืนยันอย่างเป็นทางการแล้วสำหรับประเด็นข่าวร้อนเรื่องการสึกของ "พระมหาไพรวัลย์" ที่ล่าสุดนั้น ทางด้านของ พระมหาสมปอง ออกมายืนยันว่าา จากนี้เราจะออกงานคู่กันครั้งสุดท้ายที่ จ.เชียงใหม่
แล้วคาดว่าวันที่ 4-5 ธันวาคมนี้ พระมหาไพรวัลย์ก็จะสึก ก่อนจะให้สัมภาษณ์ทีเดียว ก็มีทั้งพระที่เสียดายและที่บอกว่าออกไปได้ก็ดี ก็มองว่าหากพระมหาไพรวัลย์ออกไป ก็พูดได้แรงกว่าเดิมตรงกว่าเดิม อาจจะพูดได้เหมือนอาจารย์จตุรงค์ จงอาษา นักวิชาการด้านพุทธศาสนา เชื่อว่าน่าจะต๊าซโดนใจ แต่ยืนยันว่าจะไม่ไปยุ่งเกี่ยวกับเรื่องการเมือง
สืบเนื่องจากกรณีข่าวคราวการสึกของ "พระมหาไพรวัลย์" นั้น ในวันนี้ (29 พ.ย.2564) ทางไทยนิวส์ออนไลน์จะพาคุณผู้ชมย้อนไปถึงต้นตอ ที่ทั้ง 2พส.ได้มีการเกริ่นถึงเรื่องการสึกจนเป็นประเด็นใหญ่โตในเวลานั้น โดยหากเราย้อนไปเมื่อวันที่ 10 ตุลาคม 2564 ตอนหนึ่งของการไลฟ์ระหว่างพระมหาไพรวัลย์กับพระมหาสมปอง โดยในบางช่วงบางตอนนั้น พระมหาสมปองได้ตัดพ้อว่า มีคำเตือนว่าพระผู้ใหญ่จ้องจับผิด ทำให้อาตมารู้สึกไม่กล้าทำอะไรทั้งนั้น ทำไมคนต้องจ้องสึกเราด้วยนะ ทำไมคนที่ต้องดูแลเรา ตอนนี้กลับมาจ้องจับสึกเรา
ไม่ว่าพระผู้ใหญ่จะให้พระมหาสมปองทำอะไร ก็ทำให้ทั้งนั้น เช่น ให้เรียนบาลีก็เรียน ทั้งที่ไม่รู้เหมือนกันว่าจะเรียนไปทำไม แต่ก็ทำให้ตลอด ไม่ให้พูดบางเรื่องก็ไม่พูด ให้หยุดพูดก็หยุด ทำขนาดนี้แล้วยังจ้องจับสึก จะต้องหารทำร้ายผมไปทำไม
"ให้ผมเรียนผมก็เรียน ให้ผมท่องผมก็ท่อง ให้ผมไม่พูดผมก็ไม่พูด ให้ผมหยุดผมก็หยุด ผมดื้อเหรอ ขนาดนี้ แล้วคุณจ้องจับสึกผมคืออะไรว้า มีคนแนะนำผม เป็นเจ้าคุณหรือยัง อาจจะแซวอาจจะเล่น ผมก็บอกว่าผมสายฮาสายอะไร ไม่ค่อยสำรวม ให้คนที่เขาอยากเป็น เขาควรได้ พวกมึงอะไรนักหนาวะ (เสียงสั่น) บางทีผมก็เหนื่อย (เริ่มหายใจไม่ทัน) มึงจ้องสับสึกกูนี่ กูทำอะไรวะ ไปขัดแข้งขัดขาใคร (เสียงสั่นชัดเจน)"
โดยหลังจากที่ พระมหาสมปอง ได้ระบายความอัดอั้นออกสื่อนั้นก็เป็นทางด้านของ พระมหาไพรวัลย์ ที่ออกมาประกาศเมื่อวันที่ 29 ต.ค.ที่ผ่านมาว่า เตรียมสละสมณเพศ หลังจากทราบว่า พระราชปัญญาสุธี ซึ่งรักษาการแทนเจ้าอาวาสวัดสร้อยทอง ไม่ได้รับการแต่งตั้งให้ขึ้นเป็นเจ้าอาวาส โดยระบุว่า การตัดสินใจดังกล่าวไม่ได้หมดกำลังใจ แต่เป็นความกล้าหาญ ขอทำหน้าที่ในช่วงที่ยังเป็นพระที่เหลืออยู่ให้ดีที่สุด และจะเป็นที่พูดถึงว่า ครั้งหนึ่งพระมหาไพรวัลย์เป็นที่พูดถึงในสังคม แต่ยิ่งเรามีเกียรติ ความรู้สึกที่จะต้องแบกเกียรติก็กลายเป็นภาระไปด้วย จึงไม่อยากเป็นที่คาดหวังของใคร แต่ใครที่ชื่นชอบชื่นชมก็ขอบคุณทุกกำลังใจ
โดยบางช่วงบางตอนนั้น พระมหาไพรวัลย์กล่าวว่า ขณะนี้แม่กำลังทำคีโมอยู่ ก็รู้ว่าน้อยนักที่รักษาให้หายขาด เท่ากับว่ามีเวลาเหลือน้อยที่จะได้อยู่กับท่าน อาตมามีทางเลือกไม่มาก เพราะเป็นลูกชายคนเดียว เป็นหน้าที่ที่เลือกและอยากทำ ก็กลับไปสู่ความเป็นลูก จะได้ใช้เวลาที่เหลืออยู่ไม่มาก สร้างความสุขและความทรงจำกับแม่และพ่อ ไม่เสียใจที่สละสมณเพศแล้วได้เลี้ยงดูพ่อแม่ ทั้งที่พ่อแม่ไม่อยากให้สึก อาตมากอดแม่ครั้งสุดท้ายในคืนสุดท้ายก่อนที่จะมาบวชเณร ปกติแม่จะไม่ให้นอนด้วย โตแล้ว เป็นหนุ่มแล้วก็กางมุ้งแยกกันคนละที่
"จำได้แม่นว่าคืนสุดท้ายก่อนที่จะบวช (ร้องไห้ออกมา) แม่ให้อาตมาไปนอนด้วย บอกว่า มานอนกับแม่ มากอดแม่ นี่จะเป็นการกอดครั้งสุดท้าย เพราะนับจากนี้บวชแล้วจะนอนกอดไม่ได้ จำได้แม่น ก็แม่อาจจะพูดผิดที่ว่าเป็นการกอดครั้งสุดท้าย เพราะว่าอีกไม่นานอาตมากำลังจะได้กลับไปกอดแม่อีก" พระมหาไพรวัลย์ ระบุ และกล่าวว่า การร้องไห้จะได้ชำระอะไรที่มองไม่ชัดออกไปเสียที ยิ่งมองเห็นอะไรชัดขึ้น และไม่ได้เศร้าแต่ตื้นตัน