"หมอธีระ"เผย ยุทธศาสตร์สำคัญ ในการรับมือโควิดกลายพันธุ์ "โอไมครอน"
"หมอธีระ" ได้ออกมาโพสต์ข้อความระบุ เรื่อง ยุทธศาสตร์ที่สำคัญที่สุดในการรับมือ โควิด-19 โอไมครอน ที่ต้องติดตามอย่างใกล้ชิด
จากกรณี ที่คุณหมอธีระ รศ.นพ.ธีระ วรธนารัตน์ คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ได้ออกมาโพสต์ข้อความระบุ เรื่อง โควิด-19 "โอไมครอน" "หรือ โอมิครอน" ที่ต้องติดตามอย่างใกล้ชิด โดยมีการระบุข้อความไว้ดังนี้
ยุทธศาสตร์ที่สำคัญที่สุดในการรับมือโอไมครอน คือ การทำให้ประชาชนทุกคนสามารถเข้าถึงการตรวจคัดกรองโรคมาตรฐานได้เร็วที่สุด ทั่วถึง และไม่มีค่าใช้จ่าย
RT-PCR เป็นวิธีที่มีความไวสูงและความจำเพาะสูง โดยความไวสูงกว่าชุดตรวจ ATK
หากใช้ ATK จะมีโอกาสหลุด (ผลลบปลอม) สูง และทำให้แพร่ระบาดได้
ระบบคัดกรองคนจากต่างประเทศ จำเป็นต้องใช้ RT-PCR เป็นหลัก
ส่วนประชาชนในประเทศ หากทำให้เข้าถึง RT-PCR ได้อย่างทั่วถึงย่อมดีที่สุด โดยการสร้างจุดบริการครอบคลุมทุกพื้นที่ และไม่เสียค่าใช้จ่าย
อย่าลืมว่าแม้ราคาจะลดลงมาเหลือพันต้นๆ แต่ในยามเศรษฐกิจฝืดเคือง คงยากที่ทุกคนจะเข้าถึงบริการได้
นอกจากนี้หากยังให้คนตรวจ ATK กัน ก็ต้องย้ำให้ตรวจบ่อย เพื่อเพิ่มโอกาสตรวจพบได้มากขึ้น ทั้งนี้แม้ ATK จะราคาถูกกว่ามาก แต่สำหรับคนจำนวนไม่น้อยที่หาเช้ากินค่ำ ย่อมยากที่จะเข้าถึงบริการเช่นกัน
...อัพเดต 3 เรื่อง
1. สถานการณ์ระบาดของโอไมครอนในแอฟริกาใต้
ชัดเจนว่าในไม่กี่สัปดาห์ที่ผ่านมา โอไมครอนระบาดอย่างรวดเร็ว มีจำนวนผู้ติดเชื้อสูงขึ้นมาก โดยกราฟการระบาดชันกว่าเดลต้าอย่างมาก แสดงถึงสมรรถนะในการแพร่ที่สูงกว่าเดลต้า
ปัจจุบันอัตราการเพิ่มของจำนวนผู้ติดเชื้อใหม่ในแต่ละวันของแอฟริกาใต้อยู่ราว 25%
จำนวนผู้ป่วยที่ต้องรับการดูแลรักษาในโรงพยาบาลนั้นสูงขึ้นชัดเจน ทำให้ภาระของระบบสาธารณสุขสูงขึ้นมากในพื้นที่ระบาด
ช่วงเวลาเหลื่อมระหว่างติดเชื้อกับนอนโรงพยาบาลนั้น (Lag time between infection and hospitalization) น่าจะอยู่ระหว่าง 5-7 วัน
ในขณะนี้ยังไม่เห็นการเปลี่ยนแปลงของจำนวนผู้เสียชีวิตว่าจะเพิ่มขึ้นมากน้อยเพียงใด จำเป็นจะต้องติดตามต่ออีก 1-2 สัปดาห์ น่าจะสรุปได้ว่าอัตราตายน้อยกว่าสายพันธุ์ก่อนหน้านี้จริงหรือไม่ คาดการณ์ว่าถ้าเป็นไปในลักษณะนี้อัตราตายจะน้อยกว่าเดิมอย่างน้อยครึ่งหนึ่ง
2. ข้อมูลจากสหราชอาณาจักรเกี่ยวกับโอไมครอน
หากดูอัตราของจำนวนการติดเชื้อใหม่ต่อจำนวนคนที่ป่วยจนต้องรับการรักษาตัวในโรงพยาบาล จะพบว่าดูจะมีแนวโน้มสูงขึ้นกว่าระลอกก่อนหน้า นั่นแปลว่าโอกาสติดเชื้อแล้วป่วยจนต้องนอนโรงพยาบาลดูจะลดลงกว่าเดิม
ปรากฏการณ์ดังกล่าวอาจต้องติดตามต่อไปอีกระยะเช่นกันว่า จำนวนติดเชื้อโอไมครอนที่กำลังเพิ่มขึ้นนั้น ลักษณะของประชากรที่ติดเชื้อในสหราชอาณาจักรนั้นเป็นเช่นไร เหมือนและต่างจากแอฟริกาใต้หรือไม่ และหากมีการแพร่กระจายมากขึ้นกว่านี้ จะยังคงอัตราเดิมให้เห็นหรือไม่
3. ข้อมูลจากอิสราเอลเกี่ยวกับผลจากการฉีดกระตุ้นเข็มสาม (mRNA vaccine)
เราทราบกันดีว่าอิสราเอลรณรงค์ฉีดวัคซีนเข็มสามของ Pfizer/Biontech ไปก่อนหลายประเทศทั่วโลก
ข้อมูลจาด Yaniv Erkich และ Ido Irani วิเคราะห์จำนวนการติดเชื้อโควิด-19 ต่อประชากร 100,000 คน จำแนกตามช่วงอายุและจำนวนวัคซีนที่ได้รับ (ไม่ฉีดวัคซีน, 2 เข็ม และ 3 เข็ม) ตั้งแต่ธันวาคม 2563 เป็นต้นมา
พบว่าการฉีดวัคซีนเข็มกระตุ้นนั้นดูจะลดโอกาสการเป็นโรคโควิด-19 ได้อย่างชัดเจน นอกจากนี้หากมองในแง่ดีจะพบว่า การที่ประชากรในประเทศฉีดวัคซีนมากขึ้นเรื่อยๆ จะทำให้จำนวนประชากรกลุ่มเสี่ยงลดลง และน่าจะบรรเทาการระบาดในภาพรวมได้ อย่างไรก็ตาม คงต้องมีการติดตามเรื่องระดับภูมิคุ้มกันที่ลดลงเมื่อเวลาผ่านไป และวางแผนเรื่องการฉีดวัคซีนกระตุ้นภูมิคุ้มกันเป็นระยะ
...สำหรับไทยเรา
เน้นย้ำว่า อย่าประมาท เพราะยังไม่ถึงเวลาสรุปประเมินเรื่องอัตราตายของสายพันธุ์โอไมครอน
และแม้อัตราตายจะน้อยกว่าเดิม หรือป่วยรุนแรงน้อยกว่าเดิม แต่หากแพร่เร็วขึ้นมากจนทำให้คนติดเชื้อมากขึ้นอย่างมากทั้งคนฉีดวัคซีนครบ ไม่ครบ หรือยังไม่ได้ฉีดก็ตาม ผลกระทบในแง่จำนวนคนนอนโรงพยาบาลและจำนวนผู้เสียชีวิต แบบ absolute numbers จริงนั้นก็จะมากกว่าสายพันธุ์ก่อนหน้าที่รุนแรงกว่าแต่แพร่น้อยกว่าก็ได้
ขอขอบคุณข้อมูลจาก Tnews