ผลวิจัยญี่ปุ่น เผย "โอไมครอน"แพร่เชื้อเร็ว แถมหลบภูมิคุ้มกันได้
ผลวิจัยญี่ปุ่นถึง โอมิครอน เทียบชัดๆ ระดับความแพร่เชื้อกับสายพันธุ์เดลตา แถมหลบภูมิคุ้มกันได้ ทั้งจากสร้างขึ้นตามธรรมชาติและผ่านทางวัคซีนได้มากกว่า
จากกรณีที่มีการค้นพบเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 "โอไมครอน" แม้จะยังไม่มีรายงานว่าผู้เสียชีวิตจากการติดเชื้อ แต่นักวิทยาศาสตร์ทั่วโลกกลับกังวลใจในการแพร่ระบาดของ โควิดโอมิครอน เนื่องจากสามารถแพร่กระจายเชื้อได้เร็วกว่าสายพันธุ์เดลตา อีกทั้งยังสามารถหลบภูมิคุ้มกันจากวัคซีนได้อีกด้วย
ล่าสุด ผลวิจัยจากญี่ปุ่น โดย ดร.ฮิโรชิ นิชิอุระ ศาสตราจารย์ด้านวิทยาศาสตร์สุขภาพและสิ่งแวดล้อมที่มหาวิทยาลัยเกียวโตของญี่ปุ่น เปิดเผยว่า ไวรัสโควิดสายพันธุ์โอไมครอนสามารถแพร่เชื้อในระยะแรกได้เร็วกว่าสายพันธุ์เดลตาถึง 4.2 เท่า ซึ่งการค้นพบนี้มีแนวโน้มที่จะยืนยันความวิตกเกี่ยวกับการแพร่เชื้อได้อย่างรวดเร็วของไวรัสสายพันธุ์ใหม่นี้
ขณะเดียวกัน สำนักข่าวบลูมเบิร์กรายงานว่า ดร.นิชิอุระ ซึ่งเป็นนักวิทยาศาสตร์ และผู้เชี่ยวชาญด้านการสร้างแบบจำลองทางคณิตศาสตร์ของโรคติดเชื้อรวมทั้งเป็นที่ปรึกษาให้กับกระทรวงสาธารณสุขญี่ปุ่นนั้น ได้ทำการวิเคราะห์ข้อมูลทางพันธุกรรมหรือจีโนมของไวรัสโอมิครอนที่มีจนถึงวันที่ 26 พ.ย.ที่จังหวัดกัวเต็งในแอฟริกาใต้
ก่อนที่ ดร.ฮิโรชิ นิชิอุระ จะระบุเพิ่มเติมในผลการวิจัย ซึ่งนำเสนอในที่ประชุมของคณะที่ปรึกษาของกระทรวงสาธารณสุขญี่ปุ่นเมื่อวันพุธที่ 8 ธ.ค. 64 ที่ผ่านมาว่า เชื้อไวรัสสายพันธุ์โอมิครอนแพร่เชื้อได้มากกว่า และสามารถหลบหนีจากภูมิคุ้มกันที่สร้างขึ้นตามธรรมชาติและผ่านทางวัคซีนได้มากกว่า
ผลการวิจัยของดร.นิชิอุระยังไม่ได้รับการทบทวนและตีพิมพ์ในวารสารทางวิทยาศาสตร์ โดยการวิเคราะห์ใหม่ดังกล่าวดำเนินการโดยใช้วิธีการเดียวกับที่เขาใช้ในการวิจัยในเดือนก.ค.ที่ผ่านมาซึ่งตีพิมพ์โดยวารสารทางการแพทย์ Eurosurveillance เกี่ยวกับการคาดการณ์การแพร่ระบาดของไวรัสสายพันธุ์เดลตาก่อนการแข่งขันกีฬาโอลิมปิกที่กรุงโตเกียว
ทว่าทั่วโลกต่างกังวลว่าไวรัสโอมิครอนอาจส่งผลกระทบต่อโลกมากกว่าสายพันธุ์เดลตา และองค์การอนามัยโลก หรือ WHO ได้เตือนว่า ไวรัสโอไมครอนอาจทำให้จำนวนผู้ติดเชื้อพุ่งขึ้น และก่อให้เกิดผลกระทบที่ร้ายแรงตามมา
ทั้งนี้ ยอดติดเชื้อที่พุ่งขึ้นในแอฟริกาใต้หลังพบไวรัสโอไมครอนนั้นยังไม่ส่งผลให้มีจำนวนผู้ป่วยเพิ่มขึ้นจนล้นโรงพยาบาล ซึ่งทำให้มีความเชื่อมั่นบางส่วนว่า โอมิครอนอาจทำให้เกิดการเจ็บป่วยส่วนใหญ่ที่ไม่รุนแรง
อย่างไรก็ตาม ด้านไฟเซอร์และไบออนเทคเปิดเผยในสัปดาห์นี้ว่า วัคซีนเข็มบูสเตอร์ของบริษัทอาจป้องกันไวรัสโควิดสายพันธุ์โอมิครอนได้ ซึ่งต้องรอผลการยืนยันที่แน่ชัดต่อไป
ขอขอบคุณข้อมูลจาก Tnews