เปิดข้อมูลชัด "หมอมนูญ" ชี้ยอดติดเชื้อ "โอมิครอน" จะพุ่งหลายเท่า!
"หมอมนูญ" นายแพทย์มนูญ ลีเชวงวงศ์ หัวหน้าโรคระบบทางเดินหายใจ รพ.วิชัยยุทธ ได้ออกมาโพสต์ข้อความ ถึง การระบาดของไวรัสโควิด-19 โอมิครอน ล่าสุด
จากกรณี "หมอมนูญ" นายแพทย์มนูญ ลีเชวงวงศ์ หัวหน้าโรคระบบทางเดินหายใจ รพ.วิชัยยุทธ ได้ออกมาโพสต์ข้อความโดยระบุว่า
เชื้อไวรัสโควิด-19 สายพันธุ์โอมิครอนแพร่เร็วมากกว่าสายพันธุ์เดลต้า 3 เท่า แน่นอนจะทำให้จำนวนคนไทยติดเชื้อเพิ่มขึ้นมากกว่าการระบาดรอบก่อนหลายเท่า แต่ความรุนแรงของโรคลดลง อัตราการเสียชีวิตน้อยกว่าเดิมอย่างน้อย 6 เท่า อาการของโรคส่วนใหญ่เหมือนหวัดธรรมดา โดยเฉพาะคนที่ได้รับวัคซีนครบโดสแล้ว
เมื่อเชื้อเปลี่ยนไป และ 70% ของประชากรไทยได้รับการฉีดวัคซีน 2 เข็ม และ 25% ของประชากรได้รับวัคซีนเข็ม 3 แล้ว ประเทศไทยควรปรับแนวทางการรับมือสายพันธุ์โอมิครอนเหมือนหลายๆประเทศ ให้คนไทยเรียนรู้อยู่ร่วมกับโควิด ไม่ใช่เน้นแต่ดูแลรักษาโรคนี้อย่างเดียว ต้องคำนึงถึงงบประมาณ และเศรษฐกิจของประเทศด้วย
หลายประเทศยกเลิกการตรวจค้นหา และยืนยันการติดเชื้อด้วยวิธี RT-PCR เพราะสิ้นเปลืองงบประมาณมากเกินไป ให้ตรวจ RT-PCR เฉพาะคนไข้กลุ่มเสี่ยงที่มีอาการต้องนอนรักษาในโรงพยาบาล คนไข้ในบ้านพักคนชราและศูนย์ดูแลผู้สูงอายุ
คนที่รู้ตัวว่าตัวเองติดเชื้อด้วยการตรวจ ATK ไม่มีอาการหรืออาการน้อย หลายประเทศปล่อยให้คนติดเชื้อรับผิดชอบตัวเองและสังคมโดยการรักษาตัวเอง (ดูรูป) กินยาสามัญประจำบ้านตามอาการ กักตัวที่บ้านอย่างน้อย 5 วัน ใส่หน้ากากอนามัย เว้นระยะห่างและหมั่นล้างมือ เพื่อป้องกันการแพร่เชื้อให้ผู้อื่น ไม่ต้องไปกักตัวที่โรงพยาบาลรัฐ รพ.เอกชน รพ.สนาม ฮอสปิเทล หรือศูนย์พักคอยในชุมชน
รัฐไม่ต้องส่งอาหาร ยาฟาวิพิราเวียร์ปรอท เครื่องวัดออกซิเจนที่ปลายนิ้วฟรี ให้กับคนติดเชื้อทุกคน ควรเลือกให้เฉพาะคนในกลุ่มเสี่ยง คนสูงอายุ คนที่มีโรคประจำตัวเรื้อรัง 7 โรค หญิงตั้งครรภ์ และคนที่ยังไม่ได้รับวัคซีนแม้แต่เข็มเดียว
ปัจจุบันโรคโควิด-19 ถูกจัดเป็นภาวะฉุกเฉินวิกฤต (UCEP Covid) รักษาฟรีได้ในทุกโรงพยาบาล สำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) เตรียมยกเลิกโรคโควิด-19 จากภาวะฉุกเฉินวิกฤตรักษาได้ทุกที่ หากไปรพ.เอกชนต้องจ่ายเอง ยกเว้นมีอาการฉุกเฉิน เช่นไข้สูง หอบ เหนื่อย ไม่ค่อยรู้ตัว เพราะรัฐแบกรับภาระค่าใช้จ่ายไม่ไหว ซึ่งผมเห็นด้วยเพราะรัฐต้องเก็บงบประมาณไว้ดูแลรักษาโรคอื่นๆด้วย รัฐต้องสื่อสารให้ประชาชนเข้าใจ อย่าวิตกกังวลมากเกินไป