"หมอนิธิพัฒน์" เผยสถานการณ์โควิด-19 ยอดป่วยพุ่งแรง เตือนเตรียมรับมือ
"หมอนิธิพัฒน์ เจียรกุล" เผยสถานการณ์โควิด-19 ยอดป่วยพุ่งแรงทะลุสถิติเก่า เตือนบุคลากรทางการแพทย์เตรียมรับมือ
หมอนิธิพัฒน์ หรือ รศ.นพ.นิธิพัฒน์ เจียรกุล หัวหน้าสาขาวิชาโรคระบบการหายใจและวัณโรค ภาควิชาอายุรศาสตร์ คณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล มหาวิทยาลัยมหิดล ได้เผยผ่านเฟซบุ๊ก นิธิพัฒน์ เจียรกุล ถึง สถานการณ์โควิด-19 โดยระบุว่า
ไม่ทันขาดคำเขาก็ทะลุสถิติเก่าไปไม่ยากที่กว่า 3.3 หมื่น ที่ห่วงหน่อยคือ ตัวเลขผู้ป่วยหนัก ผู้ป่วยใส่เครื่องช่วยหายใจ และผู้เสียชีวิต ที่ทยอยฝ่าแนวต้านขึ้นยกแผง สัปดาห์หน้าและสัปดาห์โน้นคงน่าจะเห็นการไปต่อของสามตัวชี้วัดอันหลังนี้ เพราะกว่าจะเห็นผลต้องใช้เวลา 1-2 สัปดาห์ บุคลากรทางการแพทย์ที่หวังจะไปเที่ยวพักร้อนกันในอีกหนึ่งถึงสองเดือนข้างหน้า ควรรีบไปเสียตอนนี้ ช้าอาจต้องคืนตั๋วคืนที่พัก เพราะเพื่อนร่วมงานเรียงหน้าผลัดกันป่วย แถมงานเข้าจากผู้ป่วยโควิดรุนแรงที่กำลังเพิ่มขึ้น ถ้าปล่อยให้เป็นแบบนี้ต่อภาคการแพทย์คงจะไม่ไหว สัปดาห์นี้ถ้าไม่เห็นแนวโน้มดีขึ้น คงต้องเข้มงวดมาตรการขึ้นบ้างเพื่อลดการออกนอกบ้านของผู้คน มิฉะนั้นอาจจะต้องเดินพร้อมกุมขมับตามหลังหลายประเทศในเอเชียซึ่งเผชิญอยู่ในขณะนี้ แม้แต่ยักษ์ใหญ่อย่าง ญี่ปุ่น เกาหลีใต้ และฮ่องกง ยังสะเทือน
- "หมอนิธิพัฒน์" เผย ผู้ป่วยใส่เครื่องช่วยหายใจเพิ่ม แนวรับอาจทลายลงไม่ช้า
- หมอนิธิพัฒน์ เปิดข้อมูลชัดๆ เป็นไปได้ "อย่าติดโควิด" ทุกสายพันธุ์
- หมอนิธิพัฒน์ จวกรัฐฯ ใช้อวิชชารายงานตัวเลขผู้ติดเชื้อ หลังยอดต่ำเกินจริง
นอกจากการถูกบุลลี่จากคนในและคนนอกเรื่องเกี่ยวกับโควิดตามที่กล่าวไปแล้ว บุคลากรทางการแพทย์ที่เน้นหนักเรื่องการทำวิจัย ยังมีโอกาสถูกบุลลี่จากเจ้านายในหน่วยงานด้านวิจัยที่ตัวเองสังกัดหรือจำเป็นต้องไปเข้าสังกัด
หน่วยงานด้านวิจัยสำคัญๆ ของทั้งอเมริกาและอังกฤษ ล้วนโดนร้องเรียน และมีการสอบสวนบุคคลที่ถูกอุปโลกน์ให้คนอื่นเรียกว่าเป็น "เจ้านาย" ของหน่วยงาน โดยพบว่าคนที่ใส่หัวโขนใหญ่สุดกลับทำตัวเป็นยักษ์มารมากกว่าเป็นตัวพระ (ไม่เกี่ยวกับศึกในสภาและนอกสภา ระหว่างพระราม สีดา และทศกัณฐ์ ที่กำลังมันส์หยดขณะนี้)
จากการสอบถามเจ้าหน้าที่ในหน่วยงานวิจัยแห่งหนึ่งที่ขึ้นชื่อของอังกฤษ พบว่า 61% เคยถูกบุลลี่หรือถึงขั้นถูกทำให้เสื่อมเสีย แต่มีเกินครึ่งของคนที่มีประสบการณ์แย่ๆ นี้ ที่กล้าเปิดเผยเรื่องราวความเป็นจริงออกมา กว่าสามในสี่ของนักวิจัยเห็นว่า "วัฒนธรรมองค์กรการวิจัยที่แข็งกระด้าง" นี้ ช่วยบดบังความคิดสร้างสรรค์ที่จำเป็นสำหรับการดำเนินงานวิจัยไปเสียมากทีเดียว จนทำให้ผู้เกี่ยวข้องเน้นหนักกันแต่เรื่องปริมาณมากกว่าคุณภาพของงานวิจัย แรงกดดันทุกด้านของผู้บริหารหน่วยงานวิจัยที่ส่วนใหญ่มักเป็นเพศชายเสียด้วย ทำให้นักวิจัยหน้าใหม่ต้องทำตัวลีบ ไม่มีปากไม่มีเสียงก้มหน้าก้มตาผลิตผลงาน เพราะกลัวจะไม่ได้รับค่าตอบแทนที่มากพอและไม่ได้รับการส่งเสริมให้ก้าวหน้าต่อไป ใครที่ทนไม่ไหวก็ออกจากเส้นทางนี้ไป ใครที่อยู่ได้ก็ปรับตัวกันไป มีส่วนน้อยที่อาจเลือกการดัดแปลงผลงานวิจัยจนผิดรูปเพื่อให้เป็นไปตามเป้าหมาย จนเกิดเป็นเรื่องเป็นราวเมื่อถูกจับได้และถูกลงโทษทั้งในเชิงจริยธรรมและในทางกฎหมาย ทั้งหลายทั้งปวงนี้ ล้วนมีบ่อเกิดมาจากการไม่รู้จักควบคุมอัตตาในตัวของมนุษย์ ไม่ยึดมั่นในศีลธรรม และไม่แน่นเหนียวกับการปฏิบัติตามหลักจริยธรรมแห่งวิชาชีพ
แม้จะชนะแบบเสียไปถึงสองเม็ด พวกเราสาวกปิศาจแดงก็จะไม่บุลลี่ทีมคู่แข่งใกล้เคียง ก้มหน้าก้มตารับคำวิจารณ์และเดินสู่จุดหมายต่อไป ให้เหมือนการเผชิญกับโควิดก่อนกลายเป็นโรคประจำถิ่น และเหมือนท้องฟ้าสงบเย็นก่อนอาทิตย์อัสดง
#เดินหน้าต่อไปไม่หวั่นไหวโควิด