โอมิครอน สายพันธุ์ใหม่ "BA.2.2" ทำยอดผู้ติดเชื้อใน "ฮ่องกง" สูงขึ้น
เผยข้อมูล โอมิครอน สายพันธุ์ใหม่ "BA.2.2" ทำยอดผู้ติดเชื้อใน "ฮ่องกง" สูงขึ้น และอัตราผู้เสียชีวิตจากโรคโควิด-19 พุ่งขึ้นจนทำสถิติสูงที่สุดในโลก
ศูนย์จีโนมทางการแพทย์ ได้เผยว่า การระบาดใหญ่ระลอกล่าสุดของ "โอมิครอน" ในเกาะฮ่องกง ได้ก่อให้เกิดสายพันธุ์ใหม่ "BA.2.2" มีการกลายพันธุ์เด่นตรงหนามแหลม ซึ่งมีการเปลี่ยนแปลงกรดอะมิโนที่ตำแหน่ง 1221 จาก I (Isoleucine) เป็น T (Threonine) หรือ "S:I1221T" (ภาพ 1-4) โดยพบมีแพร่ระบาดไปยังอังกฤษ
การระบาดระลอกใหม่นี้ ทำให้มีอัตราผู้เสียชีวิตจากโรคโควิด-19 ในฮ่องกงพุ่งขึ้นทำสถิติสูงสุดในโลก โดยมีผู้เสียชีวิตเฉลี่ยในรอบ 7 วันอยู่ที่ 30 คนต่อประชากร 1 ล้านคน ในขณะที่ประเทศไทยอยู่ที่ 0.85 คนต่อประชากร 1 ล้านคน ส่วนใหญ่เป็นผู้สูงอายุและผู้ที่ยังไม่ได้รับการฉีดวัคซีน (ภาพ 5) โดยอัตราเฉลี่ยผู้เสียชีวิตดังกล่าวสูงมากกว่า ลัตเวียที่มีอัตราผู้เสียชีวิตสูงเป็นอันดับสองถึงสองเท่า
ที่น่ากังวลอีกประการคือ จากการที่มีจำนวนผู้ติดเชื้อรายใหม่จากโอมิครอนในฮ่องกงเพิ่มขึ้นอย่างมากเฉลี่ยในรอบ 7 วันอยู่ที่ 5,425 คนต่อประชากร 1 ล้านคน ในขณะที่ประเทศไทยอยู่ที่ 315 คน ต่อประชากร 1 ล้านคน (ภาพ 5) ได้ส่งผลให้โอมิครอนมีการกลายพันธุ์เกิดเป็นสายพันธุ์ย่อย "BA.2.2" หรือ B.1.1.529.2.2 มีการกลายพันธุ์ตรงหนาม "I1221T" (ภาพ 2)
โดยขณะนี้นักวิทยาศาสตร์ฮ่องกงและทั่วโลก กำลังประมวลผลรหัสพันธุกรรมทั้งจีโนมของ BA.2.2 กับข้อมูลทางคลินิกเพื่อตอบปัญหาสำคัญ 6 ประการ
1. BA.2.2 กลายพันธุ์ไปมากกว่า BA.2 หรือไม่ และตำแหน่งใดบ้างโดยเฉพาะในส่วนยีนที่ควบคุมโครงสร้างของหนามที่เปลือกของอนุภาคไวรัส
2. BA.2.2 แพร่ระบาด (transmissibility) รวดเร็วกว่า BA.2 หรือไม่
3. BA.2.2 ก่อให้เกิดอาการของโรคโควิดได้รุนแรง (severity) กว่า BA.2 หรือสายพันธุ์ที่น่ากังวลใจ (variants of concern) อื่น ๆ เช่น อัลฟา เบตา แกมมา เดลตา หรือไม่
4. BA.2.2 สามารถด้อยประสิทธิภาพของวัคซีนลงมากกว่า BA.2 หรือไม่
5. ยารักษาโมโนโคลนอลแอนติบอดีตัวใหม่ "โซโทรวิแมบ" (Sotrovimab) ที่ใช้ต่อต้านโอมิครอน ยังสามารถจับกับ BA.2.2 ได้อยู่หรือไม่ เพื่อป้องกันไม่ให้ไวรัสเข้าสู่เซลล์ของระบบทางเดินหายใจ
6. ใช่หรือไม่ ที่ BA.2.2 เป็นปัจจัยหนึ่งที่ทำให้มีอัตราผู้เสียชีวิตจากโรคโควิด-19 ในฮ่องกงทำสถิติสูงสุดในโลก (ภาพที่ 6)
ปัจจุบันยังไม่พบ BA.2.2 ในประเทศไทย แต่ทางศูนย์จีโนมทางการแพทย์ฯได้เริ่มพัฒนาชุดตรวจ BA.2.2 แล้ว คาดว่าจะแล้วเสร็จนำออกใช้ตรวจกรอง BA.2.2 ได้ภายในอีก 2 สัปดาห์ ด้วยเทคโนโลยี "MassArray Genotyping" ซึ่งใช้เวลาในการตรวจรู้ผลบรรดาสายพันธุ์ที่น่ากังวล (variants of concern: VOC) รวมทั้ง BA.2.2 ในการตรวจเพียงครั้งเดียว (single reaction) ใช้เวลาประมาณ 24-48 ชั่วโมงในการออกผล