แมนนี ปาเกียว จะไปต่อหรือพอแค่นี้ หลังเส้นทางการเมือง กับ นักมวย ต่างกัน
เลือกตั้งฟิลิปปินส์ แมนนี ปาเกียว อดีตนักมวย จะไปต่อหรือพอแค่นี้ หลังเส้นทางการเมือง กับ นักมวย ต่างกันโดยสิ้นเชิง
แมนนี ปาเกียว จะไปต่อหรือพอแค่นี้ หลังเส้นทางการเมือง กับ นักมวย ต่างกัน ดูเหมือนว่าเส้นทางการเมือง กับ เส้นทางนักมวยจะต่างกันโดยสิ้นเชิงซะแล้ว เมื่อมีรายงานว่า การเลือกตั้งประธานาธิบดีฟิลิปปินส์ที่กำลังจะมีขึ้นในวันที่ 9 พฤษภาคมนี้ มีบุคคลที่ถูกจับตามองว่าจะไปต่อหรือพอแค่นี้ ก็คือ แมนนี ปาเกียว สุดยอดนักชกเจ้าของเข็มขัดแชมป์โลก 8 รุ่น ที่แม้จะครองใจมหาชนในฐานะนักมวย แต่คะแนนนิยมในฐานะผู้ชิงตำแหน่งประธานาธิบดีอยู่ที่อันดับ 3
สุดยอดนักมวยผู้เป็นตำนาน แมนนี ปาเกียว เจ้าของฉายา "The Pac Man" วัย 43 ปี ชาวฟิลิปปินส์ อาจกำลังเจอสังเวียนที่ยากที่สุดในชีวิต นั่นคือการลงสมัครรับเลือกตั้งเพื่อชิงตำแหน่งประธานาธิบดีเมื่อเดือนกันยายนปีที่แล้ว โดยประกาศว่าพร้อมแล้วที่จะ "ก้าวสู่ความท้าทายในการเป็นผู้นำ และต่อสู้กับความยากจนและการทุจริต"
กับเส้นทางบนสังเวียน ปาเกียว ในฐานะแชมป์โลกถึง 8 รุ่น นั้นได้ชื่อว่าเป็นสมบัติของชาติ แต่นักวิเคราะห์มองว่าเขากำลังเผชิญความท้าทายอย่างใหญ่หลวง ในการโน้มน้าวผู้มีสิทธิเลือกตั้งให้เชื่อมั่นว่า เขาจะสามารถนำประเทศที่ถูกรุมเร้าด้วยปัญหาต่างๆ ตั้งแต่อาชญากรรม การรับสินบน ภัยพิบัติทางธรรมชาติ ลัทธิหัวรุนแรงสุดโต่ง โครงสร้างพื้นฐานที่ล้าสมัย และระบบราชการที่ยุ่งยากซับซ้อน
ปาเกียวไม่ใช่นักการเมืองที่เพิ่งเตาะแตะ แต่เขาเป็นมาแล้วทั้ง ส.ส. (2553-2559) และ ส.ว. (2559) โดยชนะเลือกตั้งอย่างง่ายดายเพราะสามารถดึงคะแนนจากมวลชน ในฐานะหนึ่งในผู้ยิ่งใหญ่ตลอดกาลของวงการมวยโลก และการสู้ชีวิตจากคนเคยจนไปสู่ฐานะที่มั่งคั่งระดับมหาเศรษฐี แต่ในเรื่องความมุ่งมั่นที่จะรับใช้ประชาชนในตำแหน่งที่ถือว่าสูงสุดของประเทศยังคงเป็นที่เคลือบแคลง โดยเฉพาะการขาดประชุมเป็นเวลานานตอนที่เป็น ส.ว. เพราะต้องเข้าค่ายฝึกซ้อมเพื่อขึ้นสังเวียนแลกเงินก้อนโตในต่างประเทศ
ผลสำรวจล่าสุดพบว่าผู้ที่มีคะแนนนิยมมาเป็นอันดับ 1 แบบไม่มีแผ่วคือ เฟอร์ดินานด์ "บอง บอง" มาร์กอส จูเนียร์ ลูกชายของอดีตผู้นำเผด็จการเฟอร์ดินานด์ มาร์กอส ที่ถูกพลังมหาชนโค่นอำนาจในปี 2529 และต้องลี้ภัยไปอยู่ฮาวายจวบจนสิ้นอายุขัย แต่การกลับกอบกู้ชื่อเสียงของวงศ์ตระกูลของบองบอง ดูจะมีความหวังขึ้นเรื่อยๆ
เมื่อได้รับคะแนนนิยมสูงถึง 56% ส่วนอันดับ 2 คือรองประธานาธิบดีเลนี่ โรเบรโด ผู้เพิ่มสีสันให้การเมืองด้วย "กองทัพสีชมพู" และการหาเสียงก็ตระการตาด้วยเวทีคอนเสิร์ต และที่โดดเด่นที่สุดคือการทำแฟลชม็อบ ที่ผู้สนับสนุนช่วยกันร้องเพลง "Break Free" ของอารีอานา กรานเด จนอารีอานาเอาไปโพสต์ลงอินสตาแกรมด้วยความประหลาดใจ แต่ถึงกระนั้นคะแนนนิยมก็ยังน้อยกว่าบองบองครึ่งหนึ่ง คือ 23%
ส่วนปาเกียวแม้จะมาเป็นที่ 3 แต่ก็ได้แค่ 7% จนมีข่าวว่าเขาอาจจะถอดใจเพื่อให้ผู้ที่สนับสนุนเขาไปเทคะแนนให้เลนี่ เพื่อเอาชนะบองบอง ...ปาเกียวยังมีปัญหาเรื่องจุดยืนที่ไม่คงที่ ตอนที่เป็น ส.ว. เขาหนุนสุดตัวกับนโยบายที่จุดกระแสวิพากษ์วิจารณ์ของชาวโลก ของประธานาธิบดีโรดริโก ดูเตอร์เต ได้แก่ การทำสงครามปราบยาเสพติดที่ทำให้มีผู้เสียชีวิตหลายพันคน และการผลักดันให้ใช้โทษประหารชีวิตต่อไป แต่ตอนนี้เขาพยายามตีตัวออกหาก และแก้เก้อด้วยการวิพากษ์วิจารณ์รัฐบาลดูเตอร์เต เรื่องการรับสินบนและการเมินเฉยที่จีนรุกรานทะเลจีนใต้
แม้จะบอกว่าการที่เขาเคยมีรากเหง้าเป็นคนจนมาก่อน ทำให้เขาคือคนที่เหมาะสมที่สุดที่จะเป็นประธานาธิบดี และพยายามฟื้นความทรงจำในสมัยที่พ่อของบองบองเคยปกครองประเทศด้วยระบอบเผด็จการ ทำให้ชาวฟิลิปปินส์ยากไร้จนโงหัวไม่ขึ้น แต่การที่คะแนนนิยมของเขาไม่กระเตื้องขึ้นเลย ทั้งยังเป็นเลขหลักเดียวอาจทำให้เขาต้องคิดทบทวนว่า "จะไปต่อหรือพอแค่นี้"
ภาพจาก เนชั่นทันโลก NTV World News