ประกาศจังหวัดภูเก็ต "ยกเลิกคำสั่ง" อนุญาตให้ถอดหน้ากากอนามัยแล้ว
ประกาศจังหวัดภูเก็ตยกเลิกคำสั่ง "อนุญาตให้ถอดหน้ากากอนามัย" หลังให้ถอดได้เพียง 1 วัน และขอให้ประชาชนสวมใส่หน้ากากอนามัยเหมือนเดิมเมื่อออกไปในที่สาธารณะ
จากกรณี วันที่ 3 มิถุนายน 2565 มีรายงานว่าทางจังหวัดภูเก็ตเผยแพร่ประกาศจังหวัดภูเก็ตยกเลิกคำสั่ง "อนุญาตให้ถอดหน้ากากอนามัย" หลังให้ถอดได้เพียง 1 วัน และขอให้ประชาชนสวมใส่หน้ากากอนามัยเหมือนเดิมเมื่อออกไปในที่สาธารณะ
เดิมจังหวัดภูเก็ตเป็นจังหวัดแรก ที่ออกคำสั่งผ่อนคลายมาตรการโควิด หลังจากสถานการณ์ มีแนวโน้มลดลงต่อเนื่อง โดยยกเลิกการสวมหน้ากากอนามัย หรือ อนุญาตให้ถอดแมสก์ เมื่ออยู่ในบริเวณโล่งแจ้ง อากาศถ่ายเทสะดวก เช่น ชายหาด-สวนสาธารณะ-สนามกีฬา ซึ่งห่างจากบุคคลอื่น ไม่ต่ำกว่า 2 เมตร มีผลตั้งแต่วันที่ 1 มิ.ย.65
ทว่าล่าสุดได้มีประกาศยกเลิกคำสั่งดังกล่าวแล้ว เป็นคำสั่งจังหวัดภูเก็ต ที่ 3793/2565 ลงวันที่ 2 มิ.ย.65 มีผลตั้งแต่วันที่ 2 มิ.ย.65 เป็นต้นไป จนกว่ามีคำสั่งเปลี่ยนแปลง เรื่องมาตรการป้องกันการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 ในพื้นที่จังหวัดภูเก็ต
โดยมีความสำคัญว่า "ให้สวมหน้ากากอนามัย หรือหน้ากากผ้า เพื่อป้องกันการแพร่โรค ลดความเสี่ยงจากการติดเชื้อ และป้องกันมิให้เกิดสภาวะที่ไม่ถูกสุขลักษณะ เพื่อจำกัดวงในการระบาดของโรค เมื่ออยู่นอกเคหสถาน ยานพาหนะส่วนบุคคล หรือเมื่ออยู่ในที่สาธารณะยกเว้นให้สามารถถอดหน้ากากอนามัย หรือหน้ากากผ้าได้ในระหว่างรับประทานอาหาร หรือเครื่องดื่ม หรือในขณะออกกำลังกาย หรือเพื่อยืนยันตัวตนกับเจ้าหน้าที่ของรัฐ และปฏิบัติตามมาตรการป้องกันการติดเชื้อแบบครอบจักรวาล (Universal Prevention)"
เนื่องจากเป็นกรณีที่มีความจำเป็นเร่งด่วน หากปล่อยให้เนิ่นช้าไปจะก่อให้เกิดผลเสียหายอย่างร้ายแรงแก่สาธารณชน หรือกระทบต่อประโยชน์สาธารณะ จึงไม่อาจให้คู่กรณีช้สิทธิโต้แย้งตามมาตรา ๓๐ วรรคสอง (๑) แห่งพระราชบัญญัติวิธีปฏิบัติราชการทางปกครอง พ.ศ. ๒๕๓๙ หากผู้ใดฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามคำสั่งฉบับนี้ อาจเป็นความผิดตามมาตรา ๕๑ ต้องระวางโทษปรับไม่เกินสองหมื่นบาท แห่งพระราชบัญญัติโรคติดต่อ พ.ศ. ๒๕๕๘ และอาจได้รับโทษตามมาตรา ๑๘ แห่งพระราชกำหนดการบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน พ.ศ. ๒๕๔๘ ตามข้อกำหนดออกตามความในมาตรา ๙ แห่งพระราชกำหนดการบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน พ.ศ. ๒๕๔๘ ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินสองปี หรือปรับไม่เกินสี่หมื่นบาทหรือทั้งจำทั้งปรับ
ทั้งนี้ ตั้งแต่วันที่ 2 มิถุนายน 2565 เป็นต้นไป จนกว่าจะมีคำสั่งเปลี่ยนแปลง