ดู๋ สัญญา รู้เรื่องพร้อมพนง.แต่ไม่ตกใจ JSL ประกาศยุติงานบางส่วนแบบกะทันหัน

เรียกได้ว่าเป็นข่าวที่สร้างความฮือฮาเป็นอย่างมากก่อนหน้านี้ สำหรับข่าวของ บริษัท เจเอสแอล โกลบอล มีเดีย จำกัด ประกาศยุติการทำงานบางส่วน ล่าสุด ดู๋ สัญญา คุณากร พิธีกรชื่อดัง ได้ออกมาเปิดใจถึงกรณีนี้แล้ว ในส่วนของ รายการเจาะใจ เนื่องจากเป็นส่วนหนึ่งของ JSL 

 

เจเอสแอลปิดฟ้าผ่า โดย พิธีกรคนดังวัย 58 ปี ได้ระบุอย่างอารมณ์ดีว่า จริงๆ แล้วตนเป็นลูกจ้างชั่วคราว เป็นฟรีแลนซ์ที่เป็นผู้ดำเนินรายการ ตนก็สนิทกับทั้งลูกจ้างและเจ้าของ อีกทั้งตนก็ได้คุยกับทั้งสองฝั่ง ในฝั่งลูกจ้างก็เป็นกระบวนการปกติที่ต้องเรียกร้องสิ่งที่ตัวเองต้องได้ ฝั่งนายจ้างที่ตนได้ยินมาก็คือมีความยากลำบากในการจัดการการเงินของตัวเองนั่นคือปัญหาที่เขาเกิดขึ้น เจเอสแอล

ดู๋ สัญญา ระบุว่า "สิ่งหนึ่งที่ผมต้องช่วยต่อก็คือว่าถ้ารายการไหนยังไปต่อได้ก็ต้องออกไปทำงาน เพื่อให้เกิดการจ้างงานกับพนักงานที่ยังเหลืออยู่ จริงๆ ก็คือไม่เหลือแล้วล่ะ จ้างเป็นฟรีแลนซ์แล้วล่ะ ส่วนฝั่งผู้ที่จะต้องจ่ายเงินจะได้หาเงินมาจ่าย แต่แน่นอนฝั่งผู้ที่จะต้องเรียกร้องสิ่งที่ตัวเองจะได้รับก็ต้องเรียกร้อง ผมว่ามันก็ต้องเป็นกระบวนการแบบนั้น" 

 

• อดีตพนง. JSL เปิดใจทำงานมา 20 ปีไร้ความหมาย ย้ำชัด ไม่เชื่อคำแถลงการณ์บริษัท
• JSL ชี้แจง กรณีเงินชดเชยพนักงาน ยืนยันไม่ได้นิ่งนอนใจ
• "ทนายเดชา" พร้อมอดีตพนง. JSL จำนวน 79 คน บุกร้อง กสร. ถูกเลิกจ้างกะทันหัน

ดู๋ สัญญา คุณากร ยังได้เพิ่มเติมรายละเอียดอีกว่า ส่วนตัวรายการเจาะใจสำหรับตนเองมันไม่ได้อยู่พ่วงไปกับการเกิดกระบวนการมองไม่ตรงกันหรือว่าปฏิบัติการไม่ตรงกันระหว่างนายจ้างกับลูกจ้าง ตัวรายการเป็นรายการที่มีเนื้อหาที่ให้แรงบันดาลใจและความรู้ซึ่งเป็นประโยชน์จริงๆ สำหรับคนดูแล้วตนแยกว่าประโยชน์ที่ยังเหลืออยู่ของวงการโทรทัศน์ต้องดำเนินการต่อครับเพราะว่ามันเป็นส่วนน้อยแล้ว 

ดู๋ สัญญา พิธีกรรายการเจาะใจ กล่าวอย่างชัดเจน ว่า "แน่นอนสิ่งที่อยู่รอดจะเป็นความบันเทิงมากกว่า แล้วสื่อโซเชียลจะใหญ่กว่าตลอดเวลา แต่ถ้าวงการโทรทัศน์ยังมีสื่อที่เป็นประโยชน์อยู่สำหรับผม ผมจะต้องช่วยให้มันไปต่อได้เท่าที่จะทำได้ ยืนยันว่ารายการ เจาะใจยังไปต่อ ด้วยทีมงานเดิมด้วยนะครับ"  

ทั้งนี้ "ดู๋ สัญญา" ยังบอกอีกว่า "ในฐานะพิธีกรได้รับผลกระทบก็มีเรื่องของความไม่สบายใจ เพราะว่า คือ...สมมติฝั่งท่านเจ้าของบริษัท ผมก็บอกท่านว่า 'ถ้าเป็นผม ผมเป็นพนักงาน ผมก็ฟ้องพี่เหมือนกัน' แต่พอเขาเล่าว่าฝั่งเขามีความเดือดร้อนมีความลำบากในเรื่องการเงินมาก ผมก็เห็นใจเขา ผมก็มองว่ากระบวนการที่ต้องเป็นไปในความถูกต้องก็ต้องเกิด กระบวนการช่วยเหลือให้รายการที่ยังดีอยู่ที่ยังไปได้เพื่อให้เกิดการจ้างงาน หรือเพื่อให้เกิดรายได้ที่จะสามารถนำไปจ่ายพนักงานได้ก็ต้องทำ"

ดู๋ สัญญา ทิ้งท้ายอีกว่า "ผมรู้พร้อมพนักงานเลยครับ แต่ก็ไม่ช็อกนะครับ เพราะจริงๆ สถานะของบริษัทก็เหน็ดเหนื่อยมานาน ได้ยินมาว่าเขาเลย์ออฟคนไปเรื่อยๆ ซึ่งก็ชัดเจนอยู่แล้ว คือถ้าองค์กรใดค่อยๆ ลดจำนวนคนออกไปเรื่อยๆ ก็พอเดาได้ แต่ไม่เคยคิดเลยว่าจะอยู่ๆ วูบเดียว ตกใจทุกคนครับ และก็หวังว่าจะดีขึ้น ผมเชื่อว่าจะดีขึ้นด้วยครับ"  

 

ขอบคุณข้อมูลจาก Tnews