อ.เจษฎา เผยอาการของโรคฝีดาษลิง มีวิธีรักษาและป้องกันอย่างไร
"อาจารย์เจษฎา เด่นดวงบริพันธ์" เผยข้อมูลของโรคฝีดาษลิง อาการของโรค ควรกังวลแค่ไหน มีวิธีรักษาและป้องกันอย่างไร
อ.เจษฎา เด่นดวงบริพันธ์ เผยผ่านเพจ อ๋อ มันเป็นอย่างนี้นี่เอง by อาจารย์เจษฎ์ "โรคฝีดาษลิง คืออะไร? เอาข้อมูลเดิมที่เคยโพสต์ไว้ เกี่ยวกับโรคฝีดาษลิง (monkey pox) มาให้อ่านกันอีกทีนะครับ จะได้ไม่แตกตื่นกันเกินไป
- โรคฝีดาษลิง เกิดจากเชื้อไวรัสกลุ่มที่ใกล้เคียงกับโรคฝีดาษในคนและโรคอีสุกอีใส ไวรัสกลุ่มนี้เป็น DNA ไวรัส จึงมีอัตราการกลายพันธุ์ต่ำกว่า RNA ไวรัส เช่น โควิด มาก
- ทำให้เกิดอาการเหมือนเป็นไข้หวัดใหญ่ ตามด้วยการมีแผลผื่นตุ่มขึ้น ที่มักจะเริ่มจากใบหน้าและลามลงไปถึงลำตัว มีอาการป่วยนานตั้งแต่ 2 สัปดาห์ถึงเป็นเดือน จึงจะหาย และมีบางคนที่เสียชีวิต (มักเป็นเด็กเล็ก)
- รายงานการระบาดล่าสุด มีผู้ป่วยจำนวนประมาณ 16,000 รายใน 75 ประเทศ (ส่วนใหญ่เป็นเคสในยุโรป มักเป็นชาย อายุประมาณ 31-40 ปี และจำนวนมากเป็นกลุ่มชายรักชาย ที่มีคู่นอนมากกว่า 1 คน) และมีผู้เสียชีวิตเพียง 5 ราย (พบในแอฟริกา)
#อาการของโรค
- โรคฝีดาษลิง เป็นญาติกับโรคฝีดาษในคน แต่แพร่ระบาดได้ยากกว่า มีอาการรุนแรงน้อยกว่า และทำให้เสียชีวิตได้น้อยกว่า
- มักจะมีอาการป่วยนาน 2-4 สัปดาห์ และมีระยะฟักตัว (ตั้งแต่ติดเชื้อจนมีอาการ) ประมาณ 5-21 วัน
- มีอาการป่วยปนกันระหว่างเป็นไข้ ปวดหัว ปวดเมื่อยกล้ามเนื้อ ปวดหลัง หนาวสั่น เหนื่อย และต่อมน้ำเหลืองบวม (ซึ่งเป็นจุดแตกต่างสำคัญจากโรคฝีดาษในคน)
- เมื่อเริ่มเป็นไข้ จะมีตุ่มคันที่ดูน่ากลัวเกิดขึ้นใน 1-3 วัน โดยมักเริ่มที่ใบหน้า และกระจายไปตามร่างกาย บางคนอาจขึ้นไม่เยอะ แต่บางคนอาจมีหลายพันตุ่ม ซึ่งจะนูนใหญ่ขึ้น มีหนองข้างในเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ จน "สุก" และแตกเป็นแผล
#ที่มาของชื่อโรคฝีดาษลิง
- ไวรัสโรคฝีดาษลิง อยู่ในสกุล ออร์โทพ็อกซ์ไวรัส Orthopoxvirus ของวงศ์ พ็อกซ์วิริดี้ Poxviridae (คำว่า pox หมายถึงฝีหนอง)
- ถูกค้นพบครั้งแรกในปี ค.ศ. 1958 ในการระบาดของโรคที่คล้ายฝีดาษ ซึ่งเกิดในห้องแล็บวิจัยที่เลี้ยงลิงไว้
- แม้ไม่ได้มีหลักฐานว่าลิงเป็นสาเหตุของการระบาดครั้งนั้น แต่คนก็เอาไปตั้งชื่อโรคว่า ฝีดาษลิง ไปแล้ว
- ปัจจุบัน องค์การอนามัยโลกคาดว่า สัตว์ตามธรรมชาติที่เป็นพาหะของโรคนี้ จริงๆ น่าจะเป็นพวกสัตว์ฟันแทะ เช่น พวกหนูและกระรอกในป่าของอัฟริกา
#การติดต่อของโรค
- เราติดเชื้อไวรัสโรคนี้จากสัตว์ที่ติดเชื้อได้ ทั้งจากการที่ถูกสัตว์นั้นกัดหรือข่วน และจากการกินเนื้อของมัน
- ส่วนการติดจากคนที่ติดเชื้อ เกิดได้โดยการสัมผัสกันโดยตรง หรือจับเสื้อผ้าที่นอน ที่ปนเปื้อนเชื้อ
- ไวรัสจะเข้าสู่ร่างกายขอเวรา ผ่านรอยแผลบนผิวหนัง หรือระบบทางเดินหายใจหรือเนื้อเยื่อที่มีเมือก (เช่น ดวงตา จมูก ปาก)
- ส่วนใหญ่ การแพร่จากคนสู่คน จะผ่านละอองฝอยขนาดใหญ่จากทางเดินหายใจ (เช่น หยดน้ำลาย) ทำให้เชื้อมักเดินทางไปไม่ไกลนัก จึงต้องเว้นระยะห่าง ในช่วงใบหน้าต่อใบหน้า (face to face)
- แต่จากการระบาดที่พบตอนหลังนี้ ทำให้ผู้เชี่ยวชาญหลายท่านเชื่อว่า การมีเพศสัมพันธ์ก็มีโอกาสจะแพร่เชื้อได้ เนื่องจากกิจกรรมทางเพศนั้น ทำให้คนทั้งสองมาอยู่ใกล้ชิดกัน
#ควรกังวลแค่ไหน
- โรคฝีดาษลิง มักจะไม่ได้มีอาการป่วยรุนแรง และคนส่วนใหญ่จะฟื้นตัวได้ในไม่กี่สัปดาห์ .. และการที่มันไม่ได้ระบาดแพร่กระจายโดยง่าย ก็ทำให้ความเสี่ยงต่อสาธารณะ ลดต่ำลงไปมากด้วย
- ผู้ที่ติดเชื้อไวรัสฝีดาษลิงในประเทศอังกฤษตอนนี้ พบว่าเป็นเชื้อสายพันธุ์อัฟริกาตะวันตก ซึ่งมีความรุนแรงต่ำกว่าสายพันธุ์อัฟริกากลาง โดยมีอัตรการเสียชีวิตอยู่ที่ 1% (ถ้าเป็นสายพันธุ์อัฟริกากลาง จะเป็น 10% และถ้าโรคฝีดาษคน จะมากถึงประมาณ 30%)
- โอกาสเสียชีวิต จะสูงขึ้นถ้าผู้ป่วยเป็นเด็ก และคนหนุ่มสาว และคนที่มีภาวะภูมิคุ้มกันบกพร่อง ที่มีความเสี่ยงจะป่วยรุนแรง
- สตรีมีครรภ์ ที่ติดโรคฝีดาษลิง อาจจะประสบปัญหาในการตั้งครรภ์ และแท้งบุตรขณะคลอดได้
- ปัญหาหนึ่งของโรคนี้ คือ ผู้ป่วยที่มีอาการน้อยๆ อาจจะไม่รู้ตัวว่าติดโรคอยู่ และทำให้แพร่เชื้อไวรัสไปยังผู้อื่นได้
#รักษาและป้องกันอย่างไร
- ไม่มีวิธีรักษาโดยเฉพาะ และส่วนใหญ่โรคจะหายไปเอง
- เชื่อกันว่า วัคซีนป้องกันโรคฝีดาษนั้น มีประสิทธิภาพสูงในการป้องกันโรคฝีดาษลิงไปด้วย
- แต่เนื่องจากโรคฝีดาษได้ถูกกำจัดหมดไปแล้วตั้งแต่เมื่อ 40 ปีก่อน ทำให้ตอนนี้ไม่มีวัคซีนโรคฝีดาษสำหรับประชาชน เหลืออยู่อีกต่อไป
- แต่มีการพัฒนาวัคซีนใหม่สำเร็จแล้ว โดยบริษัท Bavarian Nordic สำหรับป้องกันทั้งโรคฝีดาษในคน และโรคฝีดาษลิง โดยได้รับการรับรองแล้วจากสหภาพยุโรป สหรัฐอเมริกา และแคนาดา (จะใช้ชื่อการค้าว่า Imvanex, Jynneos และ Imvamune ตามลำดับ)
- ส่วนยาต้านไวรัส นั้นกำลังอยู่ในระหว่างพัฒนา
ขอบคุณข้อมูลจาก Tnews