สาวโวยหนัก พ่อป่วยติดเตียงต้องไปโอนบ้านเอง แถมรอนานจนหมดสติ
สาวโพสต์ตัดพ้อ พ่อป่วยติดเตียงต้องไปโอนกรรมสิทธิ์บ้านเอง แถมรอนานเกือบ 3-4 ชั่วโมง จนเป็นลมหมดสติบนรถวีลแชร์
จากกรณีผู้ใช้เฟซบุ๊กรายหนึ่งโพสต์ภาพคุณพ่อหมดสติบนรถวีลแชร์ พร้อมข้อความว่า "ขอบคุณพี่ๆ มูลนิธิทุกท่านนะคะ ที่เข้ามาช่วยเหลือ และขอพูดในฐานะลูกคนนึงที่พ่อเป็นอัมพฤกษ์ และต้องมองพ่อตัวเองอาการหนักแบบนี้ มันเกิดมาจากการทำงานที่แย่ของข้าราชการ เห็นอยู่เต็มตาว่าคนพิการ เราต้องพาคุณพ่อมากรมที่ดิน มาโอนบ้าน แค่มาเซ็นเอง ขอให้เจ้าหน้าที่ไปทำที่บ้านก็ไม่ยอม ต้องพาแกออกมา เราก็ยอมแล้ว มาถึงแทนที่จะช่วยกันทำให้เร็ว ๆ หน่อย ดูก็รู้ว่าแกนั่งไม่ไหว ให้คนพิการนั่งรอ 3-4 ชั่วโมง ไม่รู้เลยจริงๆ ว่าจิตใจพวกเขาทำด้วยอะไรถึงไม่เห็นใจกันบ้าง จนสุดท้ายพ่อเราต้องมาเข้าโรงพยาบาล ฉุกเฉินเพราะแกไอจนเหนื่อย แกรอข้างนอก อากาศ 33 องศานะ ใครจะไปไหว เราทำอะไรไม่ได้เลย แค่มันเจ็บใจจริงๆ ที่แกต้องมาโรงพยาบาลแบบนี้ เพราะระบบข้าราชการที่ไม่เอื้ออำนวยให้คนพิการเลย คนที่เข้ามาช่วยเหลือขอขอบคุณมากจริงๆ ค่ะ แต่ใครที่ใจร้ายทำให้ต้องรอคิวกันนานขนาดนี้ เราก็ไม่รู้เลยจริง ๆ ว่าจะบอกเค้าว่าอะไร เพราะถ้าเป็นพ่อของเค้าเอง เค้าจะเข้าใจ"
ผู้สื่อข่าวสำนักข่าวเนชั่นลงพื้นที่พบ น.ส.สุดที่รัก แซ่ตั้ง อายุ 62 ปี ภรรยา และ น.ส.กฤตพร หลวงปราบ อายุ 20 ปี ลูกสาว เพื่อสอบถามกรณีดังกล่าว โดย น.ส.สุดที่รัก กล่าวว่า ครอบครัวตนเองมี 3 คน เป็นครอบครัวเล็ก ๆ ซึ่งมีความจำเป็นต้องขายบ้านเพราะหัวหน้าครอบครัวคือสามี นายปติวัฒณ์ หลวงปราบ อายุ 52 ปี ป่วยเป็นเลือดออกในก้านสมองฉับพลันเมื่อ 3 ปีที่แล้ว ซึ่งเป็นการซื้อแบบทำสัญญาซื้อขายโดยผ่อนต่อจนหมด จึงต้องทำเรื่องเปลี่ยนชื่อถ่ายโอนกรรมสิทธิ์ที่เดิมเป็นชื่อสามีซึ่งป่วยติดเตียงอยู่ ตนเองจึงทำหนังสือมอบอำนาจเพื่อไปยื่นกับกรมที่ดิน แต่เจ้าหน้าที่การเคหะฯ บอกว่าต้องให้ผู้ป่วยไปดำเนินการด้วยตัวเอง และนัดว่าจะมีรถมารับคนป่วยไปทำธุรกรรมแต่โดนเท จึงโทรขอความอนุเคราะห์เจ้าหน้าที่กู้ภัยมูลนิธิร่วมกตัญญูให้มารับผู้ป่วยติดเตียงไปทำธุรกรรม พอไปถึงสำนักงานต้องรอคิวตั้งแต่ 09.00 น. ถึง 12.00 น. จนหัวใจหยุดเต้น จึงประสานกู้ภัยมารับตัวไปรักษาต่อที่โรงพยาบาล อาการหนักจนองเจาะคอ ซึ่งสาเหตุก็ไม่ทราบว่ามีการสื่อสารกันผิดหรือไม่ ถึงได้รอนานแบบนี้ อยากให้มีการปรับปรุงแก้ไขให้ดีกว่านี้สำหรับผู้ป่วยติดเตียงและคนพิการ ตนเองไม่อยากให้เหตุการแบบนี้เกิดขึ้นกับครอบครัวใครอีก
น.ส.สุดที่รัก กล่าวต่อไปว่า วันนี้เจ้าหน้าที่สำนักงานที่ดินสาขาปากเกร็ด ได้เดินทางมาเยี่ยมสามีซึ่งตอนนี้ยังต้องใช้เครื่องช่วยหายใจ เนื่องจากอ๊อกซิเจนในเลือดต่ำ โดยมอบกระเช้าและขอโทษกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ที่ดำเนินการล่าช้า แต่ตนเองไม่ได้โทษทางเจ้าหน้าที่ เพียงแค่อยากให้ระบบดีกว่านี้ แยกผู้ป่วยติดเตียงและผู้พิการ จึงอยากฝากหน่วยงานที่เกี่ยวข้องให้ดูกรณีตนเองเป็นตัวอย่างแล้วไปปรับแก้ไข เพื่อจะได้ไม่มีเหตุการณ์แบบนี้เกิดขึ้นกับใครอีก
ด้าน น.ส.กฤตพร บอกว่า ตอนที่เขียนโพสต์ลงโซเชียลรู้สึกกดดันหลายอย่าง เนื่องจากอยู่หน้าห้องฉุกเฉินที่โรงพยาบาล ทั้งโกรธ ทั้งโมโห และทั้งเศร้า ตามหลักแล้วถ้าเรื่องจบตั้งแต่ใบมอบอำนาจ พ่อก็ไม่ต้องออกไปและเรื่องก็จะไม่เกิดขึ้น ตนเองก็พยายามสอบถามแล้วว่ามีวิธีไหนไม่ให้พ่อต้องออกไปทำเรื่องเอง ส่วนตัวก็รู้อยู่ว่าถ้าพ่อออกไปด้วยสภาพแบบนี้จะอันตรายแน่ ทั้งเสี่ยงโควิดและการติดเชื้อโรคต่าง ๆ ตนเองก็ไม่ทราบว่าเจ้าหน้าที่ของการเคหะฯ และกรมที่ดินไปสื่อสารกันผิดอย่างไร จึงดำเนินการช้าแบบนี้ ถ้าเป็นไปได้อยากให้มีข้อปฏิบัติสำหรับผู้พิการหรือผู้ป่วยติดเตียง มีช่องทางพิเศษ เวลามีเหตุฉุกเฉินจะได้รับมือทัน ซึ่งความจริงแล้วน่าจะเสร็จภายใน 1 ชั่วโมง เนื่องจากเอกสารของตนเองครบ เหลือเพียงแค่เซ็นเอกสารและปั๊มลายนิ้วมือ แต่วันเกิดเหตุใช้เวลาถึง 3 ชั่วโมงจนพ่อมีอาการหนัก จึงติดต่อ 1669 มูลนิธิร่วมกตัญญูมารับพ่อไปรักษา โดยมีอาการถึงขั้นใช้เครื่องช่วยหายใจ รวมถึงเจาะคอ
ข่าว โดย สุรสิทธิ์ สินประเสริฐ สำนักข่าวเนชั่น จ.นนทบุรี