เปิดตำนาน "ไททานิค" หลังมหาเศรษฐีโลก ยอมจ่ายหลายล้าน เพื่อดำดูซากของมัน
ย้อนตำนาน ไททานิค เรือสุดหรูลำใหญ่ที่สุดแห่งยุคสัญชาติอังกฤษ ที่มหาเศรษฐีโลกหลายคน ยอมจ่ายหลายล้านเพื่อดำดิ่งดูซากของมัน
เจ้าหน้าที่ยังคงเเร่งค้นหาอย่างต่อเนื่อง จากกรณีเรือดำน้ำไททัน (TITAN) ที่พาลูกเรือดำดิ่งใต้ทะเลลึกในมหาสมุทรแอตแลนติก เพื่อชมซากของเรือไททานิค (Titanic) หรือ เรืออาร์เอ็มเอส ไททานิค (RMS Titanic) เรือสำราญลำใหญ่ที่จมหายไปตั้งแต่ ค.ศ.1912 หลังจากจมภูเขาน้ำแข็งในมหาสมุทรแอตแลนติก ที่อยู่ลึกลงไป 3,800 เมตร ก่อนจะหายไปเมื่อวันที่ 18 มิถุนายน 2566 ที่ผ่านมา ตามเวลาสหรัฐ ซึ่งเบื้องต้นมีรายงานว่า อากาศที่อยู่ในเรือนั้นมีให้ประมาณ 70 - 96 ชั่วโมง สำหรับลูกเรือ 5 ชีวิต ซึ่งเป็นมหาเศรษฐีระดับโลกโลก
ยังพอมีหวังของการค้นหาผู้รอดชีวิตในครั้งนี้อยู่บ้าง เนื่องจากเจ้าหน้าที่ได้ยินเสียงดังทุกๆ 30 นาที แต่ก็ยังระบุตำแหน่งของเรือดำน้ำไททันไม่ได้ และที่น่าเป็นห่วงที่สุดคือ อากาศในเรือเริ่มจะค่อยๆ หมดไปแล้ว ซึ่งจากการคาดการณ์เบื้องต้นจากผู้เชี่ยวชาญพบว่า อาหารน่าจะหมดแล้ว
วันนี้ ไทยนิวส์ จะพาไปย้อนตำนาน ไททานิคล่ม ซึ่งหาเหตุผลว่าทำไม เหล่า มหาเศรษฐีโลก ถึงยอมจ่ายถึง 8.7 ล้านเพื่อจะได้ดำดิ่งไปชมซากของมัน ที่แม้ว่าจะค้นหาเจอมาหลายสิบปีแล้ว แต่ก็ยังไม่สามารถกู้ซากของมันขึ้นมาได้เลย ทำให้เรือสำราญที่ขึ้นชื่อได้ว่าใหญ่โตและหรูหราที่สุดของยุค ยังนอนนิ่งใต้มหาสมุทรแอตแลนติก
โดยย้อนกลับ ในวันที่ 29 กรกฎาคม ค.ศ. 1908 แบบร่างของเรือไททานิค (Titanic) หรือ เรืออาร์เอ็มเอส ไททานิค (RMS Titanic) ได้รับการอนุมัติให้สร้าง ทีมผู้ผลิตใช้เวลาต่อเรือขนาดมหึมาลำนี้ร่วม 4 ปี กรทั่ง ไททานิค พร้อมแล่นเมื่อวันที่ 31 มี.ค. 1912 และได้ทดลองลงแล่นในทะเลจริง เมื่อวันที่ 2 เม.ย. 1912
ไททานิคจัดว่าเป็นเรือโดยสารที่หรูหราและใหญ่โตที่สุดของยุคนั้น ซึ่งเรือสัญชาติอังกฤษลำนี้ มีความยาว 269.06 เมตร ส่วนที่กว้างที่สุดของเรือมีขนาด 28.19 เมตร วัดความสูงจากฐานโครงเรือถึงยอดสะพานเรือได้ 32 เมตร น้ำหนักเรือ 46,329 ตัน แบ่งออกเป็น 9 ชั้น ใช้เป็นที่พักของผู้โดยสารชั้นต่างๆ และลูกเรือ ห้องอาหาร ห้องออกกำลังกาย สระว่ายน้ำ ห้องสมุด และชั้นดาดฟ้าสำหรับชมวิว ที่มีเพียงผู้โดยสารชั้นหนึ่งและชั้นสองเท่านั้น ที่สามารถใช้บริการ และ มีลิฟต์ทั้งหมด 4 ตัว
นอกจากนี้ยังมีชั้นที่เป็นห้องเครื่องยนต์ โดย ไททานิค เป็นเรือลำแรกๆ ที่ใช้โลหะในการต่อเรือ ใช้เครื่องยนต์หลักในการขับเคลื่อน 3 ตัว สามารถแล่นได้เร็วสูงสุด 43 กม./ชม.
โดย บริษัท ไวท์สตาร์ ไลน์ ซึ่งเป็นเจ้าของไททานิค โฆษณาเรือลำนี้ว่าเป็น "เรือที่ไม่มีวันจม" และอาจเป็นด้วยความเชื่อมั่นมากเกินไปเช่นนั้น จึงมีการติดตั้งเรือชูชีพไว้เพียง 20 ลำ ซึ่งรองรับผู้โดยสารได้เพียง 1,178 คน ขณะที่เรือทั้งลำ จุผู้โดยสารและลูกเรือได้ประมาณ 3,500 คน และต่อมาได้กลายเป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้มีผู้เสียชีวิตเป็นจำนวนมาก ในคืนที่ไททานิคจมสู่ก้นทะเล
วันที่ 10 เม.ย. 1912 เรือไททานิคออกจากท่าเรือที่เมืองเซาแธมป์ตัน ประเทศอังกฤษ มีปลายทางอยู่ที่นครนิวยอร์ก สหรัฐอเมริกา ซึ่งเป็นการเดินทางเที่ยวแรก และไม่มีใครคิดว่าจะเป็นเที่ยวสุดท้ายของมัน ในเมื่อท้องทะเลขณะนั้นดูเงียบสงบ ไร้คลื่นลมรุนแรง
วันที่ 14 เม.ย. 1912 ช่วงเช้าและกลางวัน การเดินเรือดูเป็นปกติดี แต่ก็ยังมีรายงานและการแจ้งเตือนส่งมายังเรือว่า พบภูเขาน้ำแข็งขนาดใหญ่ถึง 7 ครั้ง ตลอดทั้งวัน
เวลา 17:50 น. กัปตันเรือเอ็ดเวิร์ด จอห์น สมิธ (Edward John Smith) ตัดสินใจเบี่ยงเส้นทางเรือไปทางทิศใต้ หลังจากได้รับคำเตือนเรื่องภูเขาน้ำแข็ง แต่ไม่ได้ลดความเร็วลง เนื่องจากบริษัทให้ความสำคัญเรื่องการเดินเรือให้ถึงที่หมายตรงตามกำหนดเวลา
กระทั่ง 21:40 น. เรือเมซาบา ส่งสัญญาณแจ้งเตือนไปยังเรือไททานิค ว่ามีภูเขาน้ำแข็งและก้อนน้ำแข็งขนาดใหญ่ลอยตัวอยู่ในทะเลเป็นจำนวนมาก แต่ข่าวสารชิ้นนี้ไม่ได้ถูกส่งออกจากห้องวิทยุไปยังสะพานเดินเรือหรือห้องบังคับการ เพราะพนักงานรับส่งข้อความทางวิทยุ มัวแต่ยุ่งอยู่กับการส่งข้อความให้ผู้โดยสาร
จนเวลา 22:00 น. เปลี่ยนกะพนักงานและผู้บังคับบัญชาสะพานเดินเรือ รวมถึงพนักงานเฝ้าระวังเป็นชุดที่ 2 ทะเลยามกลางคืนที่เงียบสงบทำให้การสังเกตการณ์เป็นไปได้ยาก เนื่องจากไม่มีร่องรอยของคลื่นที่วิ่งกระทบก้อนน้ำแข็งในทะเล
ต่อมา 22:55 น. เรือเอสเอส แคลิฟอร์เนียน ซึ่งอยู่ในละแวกใกล้เคียง ส่งข้อความเตือนมายังเรือไททานิค โดยระบุว่า พวกเขาต้องหยุดการเดินเรือ เพราะมีก้อนน้ำแข็งห้อมล้อมอยู่เป็นจำนวนมาก แต่พนักงานวิทยุของเรือไททานิค กลับตะคอกกลับไปด้วยความไม่พอใจว่า เขากำลังยุ่งอยู่ และตัดการสื่อสารทิ้ง
จนเมื่อเวลา 23:00 น. ผู้โดยสารส่วนใหญ่ของเรือกลับเข้าห้องเพื่อพักผ่อน จากนั้น เวลา 23:35 น. พนักงานเฝ้าระวัง เฟรเดอริก ฟลีต มองเห็นก้อนน้ำแข็งขนาดใหญ่ในเส้นทางเดินเรือของไททานิค และตีระฆังให้สัญญาณเตือนสิ่งกีดขวางเบื้องหน้า 3 ครั้ง เขารีบติดต่อไปยังทีมบนสะพานเรือไททานิค และสั่งให้เดินเรือเบี่ยงไปทางซ้าย จากนั้นให้เดินเครื่องถอยหลัง
เวลา 23:40 น. คือช่วงเวลาเริ่มต้นแห่งความหายนะ ต้นเรือซึ่งพยายามหักเลี้ยวเรือเพื่อหลบภูเขาน้ำแข็งอย่างกระชั้นชิด แต่เนื่องจากกลไกการเลี้ยวของเรือในยุคนั้นมีความซับซ้อน จึงเกิดความล่าช้าในการเปลี่ยนทิศทาง เรือไททานิกคสามารถหลบเลี่ยงการปะทะภูเขาน้ำแข็งโดยตรงได้ แต่ก็เกิดการกระแทกระหว่างที่เรือแฉลบผ่านภูเขาน้ำแข็งไป ทำให้กราบเรือด้านขวาเสียหาย เกิดช่องเปิดขนาดใหญ่ และน้ำเริ่มเข้าเรือจนท่วม ผู้โดยสารบางส่วนรับรู้แรงสั่นสะเทือนและได้ยินเสียงกระแทกดังมาก แต่ยังไม่รู้ว่าเกิดเหตุการณ์อะไรขึ้น
เวลา 23:45 น. น้ำทะเลไหลเข้าท่วมตัวเรือทันทีที่เกิดช่องแตกในปริมาณ และความเร็วราว 7 ตันต่อวินาที กัปตันสมิธรับรู้แรงสั่นสะเทือนจากการชนในห้องเคบิน และรีบมาที่สะพานเรือ ก่อนจะพบว่าเรือเอียงไปทางกราบขวา และหัวเรือเริ่มจมหลังจากชนภูเขาน้ำแข็งราว 5 นาที ซึ่งภายในเวลาไม่ถึงชั่วโมงหลังจากนั้น น้ำทะเลเกือบ 14,000 ตัน ไหลทะลักเข้าสู่ตัวเรือ ซึ่งเกินกำลังรองรับของอับเฉาเรือและปั๊มน้ำก็ไม่สามารถสูบออกได้ทัน หนึ่งในวิศวกรผู้สร้างเรือไททานิคที่เดินทางมาสังเกตการณ์ด้วย ประเมินว่า เรือสามารถลอยตัวอยู่ไม่เกิน 2 ชม.
วันที่ 15 เม.ย. 1912 เวลา 01:30 น. อัตราการจมของหัวเรือไททานิคเพิ่มขึ้น และเริ่มจมลงอย่างรวดเร็ว หลังจากตีสองผ่านไป กระทั่งจมหายไปจากผิวน้ำทั้งลำเมื่อเวลา 02.20 น. ใช้เวลาเพียง 2 ชม. ครึ่ง นับจากเวลาที่ชนเข้ากับภูเขาน้ำแข็ง ชีวิตของผู้โดยสารและลูกเรือมากกว่า 1,500 คน สิ้นสุดลงกลางมหาสมุทรแอตแลนติกที่หนาวเย็น ใกล้กับเกาะนิวฟันด์แลนด์ ประเทศแคนาดา กลายเป็นหนึ่งในตำนานแห่งโศกนาฏกรรมทางทะเลช็อกโลกที่คนยังกล่าวขานกันมาถึงจนถึงทุกวันนี้
แหล่งข้อมูลจาก britannica.com, historyonthenet.com, th.wikipedia.org
ภาพจาก OceanGate Expeditions และ Hamish Harding