"อ.เทพมนตรี" นักวิชาการดัง ชี้ "ครูกายแก้ว" มีที่มาจาก "การ์กอยส์"
"อ.เทพมนตรี" นักวิชาการดัง ชี้ "ครูกายแก้ว" มีที่มาจาก "การ์กอยส์" แปลกแต่จริงที่มีคนหลงเชื่องมงายได้เพียงนี้
กำลังเป็นกระแสสำหรับ "ครูกายแก้ว" บรมครูผู้เรืองเวทย์ ที่ก่อนหน้านี้มีข่าวรูปปั้นขนาดใหญ่ติดใต้สะพาน ขณะกำลังเคลื่อนย้ายมาบวงสรวงและนำมาประดิษฐานที่ศาลครูกายแก้ว ณ ลานโรงแรมเดอะบาซาร์ รัชดาภิเษก ซึ่งมีพิธีบวงสรวงเบิกเนตร ไปเมื่อวันที่ 13 ส.ค.ที่ผ่านมา และยังมีการแจกเหรียญครูกายแก้ว รุ่นแรก จำนวน 1,500 เหรียญ ให้กับบรรดาลูกศิษย์ที่มาร่วมพิธี
สำหรับประวัติของ "ครูกายแก้ว" หรือ "พ่อใหญ่ บรมครูผู้เรืองเวทย์" นับว่าเป็น เทพเจ้าแห่งโชคลาภ ขอพรได้สมดั่งใจ ขึ้นชื่อเรื่องความศักดิ์สิทธิ์ มีรูปร่างลักษณะของผู้บำเพ็ญกึ่งมนุษย์กึ่งนก น่าเกรงขาม เล็บยาว ตาแดง มีปีกด้านหลัง มีเขี้ยวสีทองสื่อถึงนกการเวก
รูปปั้นองค์ปฐมครูกายแก้วถูกสร้างเป็นไปตามจินตนาการของ อ.สุชาติ รัตนสุข ที่ได้รับองค์ครูขนาดเล็กหน้าตักเพียง 2 นิ้ว จาก อ.ถวิล มิลินทจินดา นักร้องเพลงไทยเดิมของกองดุริยางค์ทหารสมัยก่อน ที่ได้รับต่อมาอีกทีจากพระธุดงค์ ลำปาง ที่ไปทำสมาธิที่ปราสาทนครวัดนครธม กัมพูชา
ทั้งนี้ ความคิดเห็นของชาวเน็ตก็แตกออกเป็นหลายมุม มีทั้งคนที่ศรัทธาแก่ไปสักการะขอพร และมีอีกหลายคนที่มีความคิดว่า ครูกายแก้ว ไม่ใช่ เทพเจ้าแห่งโชคลาภ อีกด้านก็มีหลายคนที่ตั้งคำถามว่า สมควรแก่การเลื่อมใสหรือไม่
ล่าสุดทางด้าน อ.เทพมนตรี ลิมปพยอม นักวิชาการอิสระด้านประวัติศาสตร์และนักเทววิทยา เคลื่อนไหวผ่านเฟซบุ๊กถึงประเด็น ครูกายแก้ว ระบุว่า ที่แท้ "กายแก้ว" มาจาก "การ์กอยส์" แปลกแต่จริงที่มีคนหลงเชื่องมงายได้เพียงนี้ โดยไม่ไปศึกษาหาความรู้ก่อนที่จะเชื่อสิ่งใด จึงอาจกลายเป็นเหยื่อถูกล่อลวง มอมเมาเข้าสู่ความมีอคติต่อความเชื่อความดีในทางศาสนา
กายแก้ว อาจมีที่มาคือการ์กอยส์ ซึ่งเป็นสัตว์ผสมหากินกลางคืน เป็นมารกึ่งอมนุษย์ - มังกร ที่ปกปักษ์รักษาผู้คนตามความเชื่อของชาวยุโรป เป็นเครื่องประดับอาคารสถานต่างๆบริเวณที่เรียกว่า ปนาลี ช่องรางน้ำทั้งในอังกฤษ ฝรั่งเศส
แน่นอนว่า ไม่เกี่ยวข้องอะไรเลยกับพระเจ้าชัยวรมันที่ 7 มหาราชกัมพูชาในอดีตและย่อมไม่เกี่ยวข้องอะไรเลยที่พยายามทำรูปลักษณ์ให้เป็นยักษามีปีกสังคมไทยไปไกลสุดกู่ เอาทุกอย่างมาบูชาปะปนกันโดยความไม่รู้เรื่องจริง
ก่อนหน้านี้ ศาสตราจารย์พิเศษ ธงทอง จันทรางศุ อดีตปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี และผู้เชี่ยวชาญด้านประวัติศาสตร์ ได้เคลื่อนไหวผ่านเฟซบุ๊ก ระบุว่า ไม่กี่วันที่ผ่านมานี้ปรากฏข่าวเรื่อง ครูกายแก้ว ว่าเป็นรูปเคารพที่ได้รับความนับถือในหมู่คนจำนวนหนึ่ง นัยว่าครูกายแก้วนี้เป็นครูบาอาจารย์ของพระเจ้าชัยวรมันที่เจ็ด ซึ่งข้อมูลส่วนนี้ผมยังไม่เคยเห็นหลักฐานยืนยันได้แน่นอนว่าเล่าลือกันมาจากที่ไหน
ความเลื่อมใสในเรื่องอย่างนี้แม้ไม่ผิดกฎหมาย แต่สามารถบ่งบอกถึงความไม่มั่นคงทางจิตใจของสมาชิกในสังคมได้ในระดับหนึ่ง และถ้าไม่เกรงใจกันแล้วก็ต้องบอกว่าเป็นระดับที่สูงมากเสียด้วย
รูปอะไรก็ไม่รู้ที่กราบไหว้กันอยู่นี้ มองในทางศิลปะก็สอบไม่ผ่านแน่ จะว่าเป็นมนุษย์ก็เห็นจะไม่ใช่ จะเป็นสัตว์ก็ไม่เชิง ผมยังนึกไม่ออกว่าการไปบูชารูปปั้นอย่างนี้จะเป็นสวัสดิมงคลได้อย่างไร แถมเกรงว่าจะเกิดผลตรงกันข้ามเสียด้วยซ้ำ
สำหรับประเพณีบ้านเมือง สถานการณ์อย่างนี้คล้ายกับที่คนแต่โบราณท่านพูดว่า ผีป่าก็จะวิ่งมาสิงเมือง ยิ่งนัก เฮ้อ
ทางด้าน นายไพศาล พืชมงคล อดีตที่ปรึกษารองนายกรัฐมนตรี และ อดีตสมาชิกวุฒิสภา-อดีตสมาชิกสภา ก็ได้มีการเคลื่อนไหวเกี่ยวกับประเด็น ครูกายแก้ว ระบุว่า
สิ่งที่กำลังหลอกลวงให้ไขว้เขวกันอยู่!!!
ครูกายแก้ว ไม่ใช่เทพอสูร
เพราะเทพอสูร คือยักษ์ ที่ได้บำเพ็ญปฏิบัติธรรม จนบรรลุธรรมขั้นสูง คือชั้นพรหม จึงได้ชื่อว่า เป็นเทพอสูร เช่นท้าวลัสเตียน ซึ่งเป็นบิดาของทศกัณฐ์เป็นต้น ภูมิธรรมชั้นพรหมนี้ คือภูมิธรรมชั้นเดียวกันกับท้าวกบิลพรหม ซึ่งเป็นบิดาของนางสงกรานต์ทั้งเจ็ด
ครูกายแก้วไม่ใช่มนุษย์ และไม่ใช่คนธรรพ์ ซึ่งอยู่ในภพภูมิที่สูงกว่า ผีเปรตอสุรกาย
และไม่ใช่บรมครูผู้ขมังเวทย์
แต่ท่านเป็นอสูรกาย ที่มีชาติภพภูมิเดิมเป็นนก
ท่านไม่ใช่อาจารย์ของพระเจ้าสุริยะวรมัน ของขอมโบราณเลย
บทสวดมนต์และคาถาที่ใช้ในวันนั้น เป็นบทบิดเบือนบทสวดในศาสนาพุทธ จนวิปริตไปสิ้น
บทที่สวดอัญเชิญ แท้จริงก็คือบทชุมนุมเทวดา ซึ่งชาวพุทธจะคุ้นเคย เวลาพระจะเริ่มสวดพระปริตร ก็จะมีพระที่นั่งลำดับที่ 3 สวดบทชุมนุมเทวดาที่ขึ้นต้นด้วยสัคเคกาเมจะรูเป... ซึ่งแปลว่าบัดนี้เป็นเวลาฟังธรรมแล้ว ขอเชิญเหล่าเทพทั้งหลาย( ไม่ได้เชิญพวกอสูรกาย เพราะพวกนี้ไม่ฟังธรรม) ฟังธรรมของพระบรมศาสดาเถิด นี่ไม่ใช่บทอัญเชิญครูกายแก้วที่ใช้สวดในวันนั้น!!!
เหตุที่ต้องสวดชุมนุมเทวดาก็เพราะ เทวดามาขอพรไว้ว่า อยากฟังธรรม ขอจงมีความเอื้อเฟื้อแก่เทวดาทั้งหลายให้ได้มีโอกาสฟังธรรมด้วย
ลักษณะของอสุรกายนี้ พวกกรีกได้สร้างเป็นภาพขึ้นมานานแล้ว ไม่ใช่คติภาพนิยมของพราหมณ์อินเดียใต้หรือของขอมโบราณแต่ประการใด!!!
ต้องถามกรุงเทพมหานครว่า ถ้าประชาชน มีความหวาดกลัว หรือเกรงอัปมงคล หรือภัยพิบัติ แล้วจะให้ทำอย่างไร เพราะเป็นอำนาจหน้าที่ของกรุงเทพมหานคร
ได้แต่นึกสังเวชพวกนักการตลาดวิปริต ที่คิดวิปริต ต่างๆนานาได้มาก แท้จริงก็ต้องการหลอกคนจีน มาลงทุนในย่านนี้และ หลอกขายรูปบูชา ให้แก่ผู้ที่โง่เขลาเบาปัญญา
แล้วคำนึงถึงอาเพศเหตุอัปมงคลที่จะบังเกิดในบ้านเมืองไหมนี่
ท่านใดมีใจหวาดกลัว ก็จงอาราธนาพระสงฆ์สวดพระปริตร และเพิ่มด้วยบทสวดถอนพัทธสีมาเถิด