รวบหนุ่ม 21 อ้างเป็นเจ้าของสถาบันการเงินชื่อดัง พบประวัติฉ้อโกงเพียบ
ตำรวจไซเบอร์ รวบหนุ่ม 21 ปี อ้างเป็นเจ้าของสถาบันการเงินชื่อดัง พบประวัติฉ้อโกงเพียบ เสียหายกว่า 1.1 ล้านบาท
สืบเนื่องจากผู้เสียหายได้มีไลน์ชื่อ “ศิรินัน” แจ้งแอดเข้ามาเป็นเพื่อน จึงกดเข้าไปดูและทักทาย เมื่อเริ่มคุยสนิทกัน จึงมีการชักชวนให้ลงทุนกับบริษัทประกอบธุรกิจด้านการเงินชื่อดัง ซึ่งคนร้ายอ้างว่าเป็นบริษัทของตน โดยเริ่มชักชวนผู้เสียหายให้ลงทุน 1,000 บาท ได้กำไร 30,000 บาท
จึงทำให้หลงเชื่อและลงทุนเพิ่มมากขึ้น เมื่อได้กำไรแล้วอ้างว่าต้องเสียภาษี และค่าบริการต่างๆ ผู้เสียหายรู้สึกผิดสังเกต จึงไปปรึกษาเพื่อน และทราบว่าถูกหลอกให้ลงทุน รวมทั้งหมดที่ผู้เสียหายโอนเงินไป จำนวน 18 ครั้ง ไปยังบัญชีม้าทั้งหมด 4 บัญชี มูลค่าความเสียหายรวมจำนวน 1,107,505 บาท
พล.ต.ท.ไตรรงค์ ผิวพรรณ ผบช.สพฐ.ตร.รรท.ผบช.สอท. จึงสั่งการให้ พล.ต.ต.ภูมิพัฒน์ ภัทรศรีวงษ์ชัย ผบก.สอท.5 และ พ.ต.อ.กฤษดา มานะวงศ์สกุล ผกก.1 บก.สอท.5 ให้เจ้าหน้าที่ตำรวจไซเบอร์ นำโดย พ.ต.ต.สุธี บุดีคำ, ร.ต.อ.ขวัญชัย ปานคง สืบสวนติดตามจนสามารถจับผู้ร่วมกระทำผิดในคดีนี้ เพื่อลดภัยอาชญากรรมออนไลน์ สร้างความอุ่นใจให้ประชาชน
กระทั่งวันที่ 2 ธ.ค.67 ชุดสืบสวนได้ติดตามผู้ต้องหาในคดีนี้ และสืบสวนทราบว่านายอรรถพรฯ อายุ 21 ปี กลับมาพักอาศัยอยู่ในพื้นที่จังหวัดปทุมธานี จึงได้เดินทางไปตรวจสอบ พบบุคคลมีลักษณะตำหนิรูปพรรณตรงตามหมายจับ จึงวางแผนจับกุม และสามารถจับกุมได้ บริเวณหน้าบ้านหลังหนึ่ง ในพื้นที่หมู่ที่ 2 ต.คลองห้า
อ.คลองหลวง จ.ปทุมธานี ตามหมายจับศาลอาญาที่ 3805/2567 ลงวันที่ 15 สิงหาคม 2567 ในความผิดฐาน “ร่วมกันฉ้อโกงประชาชนโดยการแสดงตนเป็นคนอื่น,นำเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ซึ่งข้อมูลคอมพิวร์ที่บิดเบือนหรือปลอมไม่ว่าทั้งหมดหรือบางส่วนหรือข้อมูลคอมพิวเตอร์อันเป็นเท็จโดยประการที่น่าจะเกิดความเสียหายแก่ผู้อื่นหรือประชาชน”
จากการสอบถามนายอรรถพรฯ ให้การปฏิเสธ แต่ขอให้การว่า เมื่อประมาณกลางปี 2565 ได้เปิดบัญชีธนาคารให้แฟนเก่านำไปใช้ ก่อนถูกนำไปใช้ก่อเหตุในคดีนี้ จากการตรวจสอบข้อมูลหมายจับ พบผู้ต้องหามีหมายจับติดตัวรวม 3 หมายจับ ล้วนแล้วแต่เป็นคดีร่วมกันฉ้อโกงประชาชนโดยแสดงตนเป็นบุคคลอื่นฯ มีผู้เสียหายหลายราย พบความเชื่อมโยง 38 เคสไอดี เจ้าหน้าที่ตำรวจจึงได้แจ้งข้อกล่าวหาตามหมายจับ นำส่งพนักงานสอบสวน กก.2 บก.สอท.5 เพื่อดำเนินการตามกฎหมายต่อไป