หนุ่มใหญ่อาบน้ำอุ่นอยู่ดีๆ สักพักรู้สึกเจ็บปวด หมอบอกต้องเสียขาไปตลอดกาล
หนุ่มใหญ่อาบน้ำอุ่นอยู่ดีๆ สักพักรู้สึกเจ็บปวด ก่อนทายา - พันผ้าพันแผลด้วยตัวเอง สุดท้ายหมอบอกต้องเสียขาไปตลอดกาล
ใครจะรู้ว่าหลังอาบน้ำอุ่นแล้วต้องสูญเสียขาไปตลอดกาลแต่นั่นมันสามารถเกิดขึ้นได้หากคุณป่วยด้วยโรคนี้ ซึ่งเมื่อไม่นานมานี้มีรายงานเรื่องราวของ ชายวัย 53 ปี มีแผลไหม้และแผลพุพองที่ขาหลังจากอาบน้ำอุ่น เขาจึงทายาและพันผ้าพันแผลด้วยตัวเอง วันต่อมาแผลเริ่มเจ็บปวดมากขึ้นเรื่อยๆ มีสีคล้ำและมีหนองไหลออกมา จึงรีบไปรักษาที่โรงพยาบาลโดยด่วน
หลังจากที่คุณหมอได้ทำการตรวจสอบจึงพบว่า ชายคนนี้ป่วยเป็นเบาหวานชนิดที่ 2 แต่ละเลยการควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดมาเป็นเวลานาน ทำให้หลอดเลือดเล็กๆ รอบเส้นประสาทที่เท้าของเขาเสียหายอย่างรุนแรง และแม้แต่บาดแผลเล็กๆ ที่เกิดจากน้ำซึ่งมีความร้อน ก็ทำให้เกิดแผลสาหัสได้
ด้านคุณหมอได้ถอดบาดแผลเดิมออก และรักษาด้วยยาปฏิชีวนะ ทว่าเนื่องจากได้รับบาดเจ็บที่นิ้วเท้าทั้ง 4 นิ้ว และเนื้อร้ายที่ขาของเขาก็ยังรุนแรงต่อไป เมื่อมาถึงจุดนี้แพทย์จึงจำเป็นต้องตัดขาเพื่อรักษาชีวิตเขาไว้
พร้อมกันนี้ Dr.Yu-Rui Chang แพทย์ประจำแผนกระบบเผาผลาญ โรงพยาบาลทหารผ่านศึกไต้หวัน อธิบายว่าปัจจัยเสี่ยงในการเกิดแผลที่เท้า ได้แก่ โรคหลอดเลือดบริเวณส่วนปลาย โรคระบบประสาท การสูญเสียการปกป้องผิวหนัง หรือการมองเห็นที่ไม่ดี ส่งผลให้เพิ่มความเสี่ยงต่อการหกล้ม การชนกัน
ขณะที่น้ำตาลในเลือดสูงในโรคเบาหวาน ก็สามารถทำลายหลอดเลือดได้ง่าย อาจทำให้เกิดโรคระบบประสาทและจอประสาทตาได้ และเพิ่มความเสี่ยงต่อการเกิดแผลที่เท้าและการเสื่อมสภาพได้อย่างมาก ดังนั้น จึงต้องให้ความสำคัญอย่างยิ่งกับการควบคุมระดับน้ำตาลในเลือด การปกป้องผิวหนัง และทำการตรวจรักษาอย่างสม่ำเสมอตั้งแต่เนิ่นๆ
คุณหมอยังบอกอีกว่า โรงพยาบาลมักจัดให้ผู้ป่วยที่เพิ่งตรวจพบการติดเชื้อที่เท้า ทำการเอ็กซเรย์บริเวณที่ได้รับผลกระทบเพื่อตรวจดูว่ากระดูกผิดรูปหรือเสียหายหรือไม่ และประเมินความผิดปกติอื่นๆ หากแผลติดเชื้อก็ให้รักษาด้วยยาปฏิชีวนะ เมื่อแผลที่เท้าที่เกิดจากเซลลูไลติมีขนาดใหญ่กว่า 2 ซม. หรือมีอาการบวม ปวด มีกลิ่น มีของเหลวไหลออกมา และมีอาการอื่นๆ ถือว่ามีการติดเชื้อที่เท้าปานกลางหรือมาก
ในทางคลินิก มักจำเป็นต้องปรึกษาศัลยแพทย์โดยเร็วที่สุด เพื่อประเมินว่าจำเป็นต้องมีการแทรกแซงการผ่าตัดเพื่อหลีกเลี่ยงภาวะแทรกซ้อนที่ร้ายแรงถึงชีวิตหรือไม่
แต่คุณหมอก็ให้ความรู้เพิ่มเติมว่า ผู้ป่วยโรคเบาหวานควรได้รับการตรวจคัดกรองอย่างน้อยปีละครั้ง ประเมินว่ามีโรคหลอดเลือดส่วนปลายหรือไม่ เพื่อให้ได้รับการรักษาตั้งแต่เนิ่นๆ นอกจากนี้ การควบคุมน้ำหนัก ความดันโลหิต และน้ำตาลในเลือด ก็เป็นสิ่งสำคัญ การรักษาระดับน้ำตาลในเลือดให้ไม่เกิน 8.5% สามารถลดการเกิดภาวะแทรกซ้อน และปรับปรุงคุณภาพชีวิตได้อย่างมีประสิทธิภาพ
อย่างไรก็ตาม คุณหมอทิ้งท้ายว่า เนื่องจากโรคระบบประสาท ทำให้ผู้ป่วยโรคเบาหวานจำนวนมากไม่ไวต่อความเจ็บปวดหรืออุณหภูมิเพียงพอ และไม่สามารถจดจำอาการบาดเจ็บที่เท้าได้ง่าย ผู้ป่วยควรหลีกเลี่ยงการเดินเท้าเปล่า หรือสวมรองเท้าแตะที่มีพื้นรองเท้าบาง หากจำเป็น ให้เลือกรองเท้าสำหรับรักษาโรคหรือสั่งทำพิเศษ เนื่องจากแผ่นรองรองเท้าหรือแผ่นรองนิ้วเท้า สามารถป้องกันไม่ให้เกิดแผลที่เท้าซ้ำได้
ข้อมูลจาก soha