เอาแล้ว "ทนายอนันต์ชัย" โพสต์ถึงคดีแตงโมครั้งแรก ฤาจะเป็นเรื่องจริง
ฆาตกรรมอำพราง “แตงโม” ฤาจะเป็นเรื่องจริง งานนี้ ทนายอนันต์ชัย ไชยเดช ขอโพสต์เป็นครั้งแรก ชาวเน็ตแห่เมนต์เพียบ
ทนายอนันต์ชัย ไชยเดช งานนี้ล่าสุดเจ้าตัวได้ออกมาโพสต์ครั้งแรก เกี่ยวกับ "คดีแตงโม" ผ่านเฟซบุ๊ก ทนาย อนันต์ชัย ไชยเดช ระบุว่า
ฆาตกรรมอำพราง “แตงโม” ฤาจะเป็นเรื่องจริง….!!!
ตั้งแต่มีคดีน้องแตงโม ผมไม่เคยแสดงความคิดเห็นใดๆ เลย แม้จะมีผู้สอบถามมาทั้งประชาชน และสื่อมวลชน วันนี้เป็นครั้งแรกที่ผมอยากแสดงความคิดเห็นเชิงวิชาการด้านกฎหมายในฐานะนักกฎหมายและทนายความ ไม่มีผลประโยชน์อื่นใดแอบแฝงเลยครับ
ต่อกรณีที่มีความพยายามในการรื้อคดี “แตงโม” ขึ้นมาดำเนินการจนเป็นกระแสข่าวขึ้นมาอีกครั้ง เพื่อจับพิรุธและเงื่อนงำของการสอบสวนประเด็นการเสียชีวิตของน้องแตงโม(นางสาวนิดา พัชระวีรพงษ์) ด้วยความหวังต่อกระบวนการยุติธรรมต้นน้ำ ซึ่งหากปล่อยผ่านอาจนำไปสู่การเบี่ยงเบนของพยานหลักฐานที่นับว่าเป็นอันตรายที่สุดในกระบวนการยุติธรรม นั้น
จากข้อเท็จจริงที่ปรากฏ ไม่ว่าจะเป็นการขอแก้หรือเพิ่มเติมฟ้อง หรือจะขอให้รื้อฟื้นคดีอาญาขึ้นพิจารณาใหม่ก็ตาม จะกระทำได้แค่ไหน เพียงใด วันนี้เรามาดูข้อกฎหมายไปด้วยกันสักหน่อยครับ
1.ประเด็นว่า ผู้ใดมีอำนาจยื่นคำร้องขอแก้หรือเพิ่มเติมฟ้อง ?
โจทก์ (พนักงานอัยการ) มีอำนาจยื่นคำร้องขอแก้หรือเพิ่มเติมฟ้องจากข้อหากระทำโดยประมาทเป็นเหตุให้ผู้อื่นถึงแก่ความตายเป็นข้อหาฆ่าผู้อื่นโดยเจตนาได้ก่อนศาลชั้นต้นมีคำพิพากษา แม้สืบพยานโจทก์ - จำเลยเสร็จแล้ว แต่ตราบใดที่ศาลชั้นต้นยังไม่มีคำพิพากษา โจทก์ ก็ยังมีอำนาจยื่นคำร้องเสมอ คำว่า “ มีอำนาจ” หมายความว่า เป็นดุลพินิจของพนักงานอัยการที่จะยื่นหรือไม่ยื่นขอแก้หรือเพิ่มเติมฟ้องก็ได้
ดังนั้น การจะยื่นคำร้องขอแก้หรือเพิ่มเติมฟ้องหรือไม่ จึงเป็นดุลพินิจของพนักงานอัยการโดยแท้ (ป.วิ.อาญา มาตรา 163)
มาตรา 163 วรรคหนึ่ง ” เมื่อมีเหตุอันควร โจทก์มีอำนาจยื่นคำร้องต่อศาล ขอแก้หรือเพิ่มเติมฟ้องก่อนมีคำพิพากษาศาลชั้นต้น ถ้าศาลเห็นสมควรจะอนุญาตหรือจะสั่งให้ไต่สวนมูลฟ้องเสียก่อนก็ได้ เมื่ออนุญาตแล้วให้ส่งสำเนาแก้ฟ้องหรือฟ้องเพิ่มเติมแก่จำเลยเพื่อแก้และ ศาลจะสั่งแยกสำนวนพิจารณา ฟ้องเพิ่มเติมนั้นก็ได้เมื่อมีเหตุอันควร“
( หมายเหตุ ส่วนศาลจะอนุญาตหรือไม่ เป็นดุลยพินิจของศาล ซึ่งกฎหมายบัญญัติไว้ในมาตรา 164 ”คำร้องขอแก้หรือเพิ่มเติมฟ้องนั้น ถ้าจะทำให้จำเลย เสียเปรียบในการต่อสู้คดี ห้ามมิให้ศาลอนุญาต แต่การแก้ฐานความผิด หรือรายละเอียดซึ่งต้องแถลงในฟ้องก็ดี การเพิ่มเติมฐานความผิดหรือ รายละเอียดซึ่งมิได้กล่าวไว้ก็ดี ไม่ว่าจะทำเช่นนี้ในระยะใดระหว่าง พิจารณาในศาลชั้นต้นมิให้ถือว่าทำให้จำเลยเสียเปรียบ เว้นแต่จำเลย ได้หลงต่อสู้ในข้อที่ผิดหรือที่มิได้กล่าวไว้นั้น“)
หาก นางภนิดา ศิระยุทธโยธิน (คุณแม่ของน้องแตงโม) จะใช้อำนาจในฐานะเป็นโจทก์ร่วมยื่นคำร้องขอแก้หรือเพิ่มเติมฟ้องข้อหาฆ่าผู้อื่นโดยเจตนาก็ไม่น่าจะกระทำได้ รวมถึงไม่สามารถกระทำการใด ๆ ในกระบวนพิจารณาอันจะทำให้คดีของอัยการเสียหาย เช่นกัน (ป.วิ.อาญา มาตรา 32) ทั้งนี้ ศาลฎีกาเคยวินิจฉัยว่า โจทก์ร่วมอาศัยสิทธิ์ของอัยการ จึงไม่มีอำนาจขอแก้และเพิ่มเติมฟ้องให้นอกเหนือไปจากฟ้องของอัยการ (ฎีกาที่ 3833/2525 และ 1370/2522)
มาตรา 32 “เมื่อพนักงานอัยการและผู้เสียหายเป็นโจทก์ร่วมกัน ถ้าพนักงานอัยการเห็นว่าผู้เสียหายจะกระทำให้คดีของอัยการเสียหาย โดยกระทำหรือละเว้นกระทำการใด ๆ ในกระบวนพิจารณา พนักงานอัยการมีอำนาจร้องต่อศาลให้สั่งผู้เสียหายกระทำหรือละเว้นกระทำการนั้น ๆ ได้”
2.ประเด็นว่า พยานหลักฐานที่ได้มาใหม่จะนำเข้าสืบได้หรือไม่ ?
การยื่นพยานหลักฐานใหม่ ไม่มีกฎหมายบัญญัติห้ามว่าพยานที่โจทก์นำเข้าสืบจะต้องผ่านการสอบสวนมาก่อน ดังนั้น พยานบุคคล พยานวัตถุ หรือพยานเอกสารที่ได้มาจากการจับพิรุธและเงื่อนงำของการสอบสวนในประเด็นการเสียชีวิตของน้องแตงโม โจทก์ย่อมยื่นบัญชีระบุพยานเพิ่มเติมและนำเข้าสืบได้ทั้งสิ้น
3.ประเด็นว่า หากผู้เสียหายยื่นฟ้องข้อหาฆ่าผู้อื่นโดยเจตนาด้วยตนเอง จะกระทำได้หรือไม่ ?
นางภนิดา ศิระยุทธโยธิน คุณแม่ของแตงโม ซึ่งขณะนี้เข้าร่วมเป็นโจทก์กับพนักงานอัยการ จะต้องยื่นคำร้องขอถอนตัวจากการเป็นโจทก์ร่วมเสียก่อนเพื่อมิให้เป็นฟ้องซ้อน แล้วมาเป็นโจทก์ยื่นฟ้องคดีอาญาข้อหาฆ่าผู้อื่นโดยเจตนาด้วยตนเองในฐานะผู้มีอำนาจจัดการแทนผู้เสียหาย แต่ต้องระวังมิให้เป็นฟ้องซ้ำกับคดีที่ถอนตัวมาด้วย
4.ประเด็นว่า การรื้อฟื้นคดีใหม่ กระทำได้หรือไม่ ?
สำหรับการรื้อฟื้นคดีใหม่จะกระทำได้ต่อเมื่อคดีถึงที่สุด ไม่ว่าจะเป็นคดีที่จำเลยให้การรับสารภาพในข้อหากระทำโดยประมาทเป็นเหตุให้ผู้อื่นถึงแก่ความตายและศาลมีคำพิพากษาไปก่อนแล้ว หรือคดีหลักที่อยู่ระหว่างสืบพยานจำเลย ก็ตาม
แต่ที่สำคัญ เจตนารมณ์ของกฎหมายมุ่งคุ้มครองบุคคลผู้ต้องรับโทษอาญาโดยคำพิพากษาถึงที่สุด ให้มีสิทธิขอรื้อฟื้นคดีขึ้นพิจารณาใหม่ในภายหลังหากปรากฏพยานหลักฐานขึ้นใหม่ว่าบุคคลนั้นมิได้กระทําความผิด ดังนั้น ผู้ที่จะมีสิทธิร้องขอให้รื้อฟื้นคดีใหม่จึงได้แก่ ฝ่ายจำเลยที่ต้องรับโทษอาญาโดยคดีถึงที่สุดนั้น หรือพนักงานอัยการในกรณีที่พนักงานอัยการมิได้เป็นโจทก์ในคดีเดิม ตามพระราชบัญญัติการรื้อฟื้นคดีอาญาขึ้นพิจารณาใหม่ พ.ศ. 2526 มาตรา 6 “บุคคลดังต่อไปนี้มีสิทธิยื่นคำร้อง
(1) บุคคลผู้ต้องรับโทษอาญาโดยคำพิพากษาถึงที่สุด
(2) ผู้แทนโดยชอบธรรมหรือผู้อนุบาลในกรณีที่บุคคลผู้ต้องรับโทษอาญาโดยคำพิพากษาถึงที่สุดนั้นเป็นผู้เยาว์ หรือคนไร้ความสามารถ
(3) ผู้จัดการหรือผู้แทนอื่นของนิติบุคคลในกรณีที่นิติบุคคลนั้นต้องรับโทษอาญาโดยคำพิพากษาถึงที่สุด
(4) ผู้บุพการี ผู้สืบสันดาน สามีหรือภริยาของบุคคลผู้ต้องรับโทษอาญาโดยคำพิพากษาถึงที่สุดซึ่งถึงแก่ความตายก่อนที่จะมีการยื่นคำร้อง หรือ
(5) พนักงานอัยการในกรณีที่พนักงานอัยการมิได้เป็นโจทก์ในคดีเดิม”
คดีนี้พนักงานอัยการเป็นโจทก์ในคดีเดิม และคงไม่มีจำเลยคนใดที่จะขอให้ศาลรื้อฟื้นคดีของตนใหม่ จากข้อหาโทษจำคุกไม่เกินสิบปี เป็นข้อหาฆ่าผู้อื่นโดยเจตนาที่มีโทษสูงถึงประหารชีวิตเป็นแน่ ประเด็นนี้จึงไม่อาจกระทำได้
จะอย่างไรก็ตาม ผมขอเป็นกำลังใจให้ทุกท่านที่จะทำความจริงให้ประจักษ์ เหมือนเปิดของที่ปิดหงายของที่คว่ำ ท่ามกลางความคาดหวังต่อกระบวนการยุติธรรมต้นน้ำ...แม้ว่ามันจะยากลำบาก ครับ.
หมายเหตุ กรุณาแสดงความคิดเห็นโดยสุภาพและสุจริต งดดราม่า
ขอบคุณครับ
ทนายอนันต์ชัย ไชยเดช