ลูกน้องฟ้อง โดนหัวหน้าล่วงละเมิด สุดท้ายต้องติดคุกเสียเอง

กลายเป็นประเด็นที่หลายคนให้ความสนใจอย่างมากบนโลกออนไลน์เกาหลีใต้ หลังจากที่มีรายงาน เรื่องราวของหญิงพนักงานรายหนึ่งเข้าแจ้งความฟ้องร้องว่าถูกเจ้านายล่วงเกินอย่างไม่เต็มใจ แต่ผลสุดท้ายกลับเป็นเธอที่เป็นฝ่ายได้รับโทษหนักต้องติดคุกนานถึงครึ่งปี ภายหลังจากเจอหลักฐานคลิปเสียงที่คาดไม่ถึง

 

เรื่องราวดังกล่าวเกิดขึ้นในเดือนพฤษภาคม 2560 พนักงานสาวรายหนึ่งเพิ่งเข้ามาทำงานใหม่ที่ธนาคารแห่งหนึ่งในเกาหลีใต้ ได้ไปกินเลี้ยงกับหัวหน้าชายของเธอ และได้มีการดื่มแอลกอฮอล์ด้วยกัน ในคืนนั้นทั้งสองได้มีความสัมพันธ์ลึกซึ้งกันที่โรงแรมแห่งหนึ่ง 

 

แต่หลังจากนั้น ฝ่ายหญิงได้เข้าแจ้งความว่าถูกล่วงละเมิดในขณะที่มึนเมาหรือไม่สามารถต่อต้านได้ ทว่าภายหลังจากทางพนักงานสอบสวนได้รับหลักฐานเป็นไฟล์คลิปเสียงจากทางฝ่ายคู่กรณี ทางเจ้าหน้าที่ตัดสินใจไม่ดำเนินคดี โดยเชื่อว่าเป็นการสมยอม

 

เนื่องจากว่า ขณะอยู่ที่โรงแรม หัวหน้าชาย ได้บันทึกคลิปเสียงผ่านทางแอปพลิเคชันในโทรศัพท์มือถือ ซึ่งในไฟล์เสียงที่บันทึกนั้นเป็นบทสนทนาของ หญิงสาวและ หัวหน้าชาย ในระหว่างที่ทั้งสองกำลังมีเพศสัมพันธ์กัน โดย หญิงสาว ได้พูดว่า "ทำต่อเถอะ" โอกาสนี้ หัวหน้าชาย จึงใช้คลิปเสียงดังกล่าวฟ้องกลับคู่กรณี โดยกล่าวหาว่าเธอเป็น "นักขุดทอง"   

หญิงสาวถูกตั้งข้อหาแจ้งความเท็จ ก่อนจะถูกส่งตัวไปพิจารณาคดีในศาล แต่ในการพิจารณาคดีครั้งแรก พบข้อเท็จจริงว่า หัวหน้าชาย ได้ทำการตัดต่อไฟล์บันทึกเสียงบางส่วนจากต้นฉบับ ซึ่งมีส่วนที่ได้ยินว่า หญิงสาว เรียกชื่อแฟนหนุ่มของเธอ พร้อมทั้งเรียกว่า โอปป้า หลายครั้ง 

 

อีกทั้งยังมีส่วนที่ หัวหน้าชายถามบางอย่างกับเธอ แต่เธอไม่ได้ตอบเขา ซึ่งส่วนต่างๆ เหล่านี้เป็นส่วนที่ หัวหน้าชาย ตัดทิ้งไป ก่อนที่จะส่งไฟล์ให้เจ้าหน้าที่สืบสวน ซึ่งในการพิจารณาคดีครั้งแรก ศาลชั้นต้นตัดสินว่า หญิงสาวไม่มีความผิด 

โดยมีความเห็นว่า "มีความเป็นไปได้ที่ หญิงสาวจะเข้าใจผิด คิดว่า หัวหน้าชาย เป็นแฟนของเธอ ขณะที่เมาและไม่ได้สติ จึงยินยอมมีอะไรกับเขา และแม้ว่า หญิงสาวจะเรียกชื่อแฟนของเธออยู่หลายครั้ง แต่ หัวหน้าชายก็ไม่ได้สนใจ นอกจากนี้ เขายังจงใจส่งคลิปเสียงที่มีการตัดต่อมาเป็นหลักฐานในการฟ้อง"

 

ทว่าในการพิจารณาคดีครั้งที่สอง ศาลอุทธรณ์ได้พลิกคำตัดสินเดิม โดยตัดสินให้ ฝ่ายหญิงมีความผิดและรับโทษจำคุก 6 เดือน โดยมีความเห็นว่า "สามารถสันนิษฐานได้ว่าการเรียกชื่อแฟนของ หญิงสาว เป็นการแสดงออกตามปกติ ไม่ใช่เพราะคิดว่า หัวหน้าชาย จะเป็นแฟนของเธอ ดังนั้นจึงเป็นเรื่องยากที่จะยอมรับว่า เธอเข้าใจผิดว่าเขาเป็นแฟนของเธอ อีกทั้งเธอก็ไม่เคยบอกแฟนของเธอล่วงหน้าว่าห้องโรงแรมนั้นอยู่ที่ไหน"

ต่อมา ศาลฎีกาพิพากษายืนตามคำตัดสินของศาลอุทธรณ์ โดยพิจารณาจากคำให้การของ ฝ่ายหญิงต่อพนักงานสอบสวน ที่ได้กล่าวว่า "ฉันไม่มีสติตอนที่มีคนมาสัมผัสร่างกายของฉัน และฉันคิดว่าคนนั้นเป็นแฟนของฉัน ฉันเผลอหลับไปและตื่นขึ้นมาตอนที่ได้ยินเสียงเรียกชื่อตัวเองซ้ำๆ" 

ซึ่งในการพิจารณาครั้งที่สองชี้ว่า "เมื่อเธออ้างว่าเมาไม่มีสติ ดังนั้นจึงเป็นเรื่องผิดปกติมากหากเธอจะจดจำรายละเอียดเกี่ยวกับการเข้าใจผิดเรื่องเรียกชื่อได้ ข้ออ้างของเธอจึงไม่ได้รับการยอมรับ"

 

ทั้งนี้ หญิงสาวได้รับโทษจำคุก 6 เดือน ในขณะที่ข้อหาเรื่องการตัดต่อคลิปเสียงของ หัวหน้าชายรวมถึงการเบิกความเท็จในศาลชั้นต้น เพิ่งจะได้รับการตัดสินว่ามีความผิด และเขาได้รับเพียงโทษปรับ 

 

โดย หัวหน้าชายอ้างว่าเขาแก้ไขไฟล์เสียงเพื่อปรับปรุงคุณภาพของเสียงเท่านั้น ไม่ได้ตั้งใจตัดต่อ หรือละเว้นส่วนใด แต่ผลการสืบสวนพิสูจน์ว่า เขาตั้งใจลบเสียงส่วนอื่นทิ้งจริง ซึ่งรวมถึงส่วนที่ ฝ่ายหญิง โทรหาแฟนหนุ่ม ส่วนที่เธอไม่ตอบคำถาม และส่วนที่เธอเรียกชื่อแฟนหนุ่มหลายครั้ง

หลังจากพ้นโทษจำคุกออกมา หญิงสาว ได้ยื่นคำร้องขอพิจารณาคดีใหม่ ซึ่งในชั้นต้นศาลได้ปฏิเสธคำร้องขอ เธอจึงได้ยื่นอุทธรณ์ต่อศาลอีกครั้ง โดยกล่าวว่า "ฉันต้องการพิสูจน์ผ่านการพิจารณาคดีใหม่ว่าฉันไม่ใช่นักขุดทอง ฉันต้องการล้างมลทินให้กับชื่อของฉัน ฉันถูกล่วงละเมิดในขณะที่ฉันเมาและไม่สามารถจำอะไรได้เลย"

ข้อมูลจาก X @masterofblt และ The JoongAng