พ่อเด็กเอ็นพูดตรงๆ หลัง ลูกสาวโดนตราหน้าว่าแย่งสามีชาวบ้าน

จากกรณีที่ เกิดเหตุสะเทือนใจในพื้นที่รับผิดชอบของ สน.มีนบุรี เมื่อ น.ส.วรวรรณ อายุ 27 ปี ซึ่งกำลังตั้งครรภ์ได้ 7 เดือน ตระเวนตามหาสามี ก่อนจะบุกเข้าไปยังห้องพักรายวันแห่งหนึ่ง และพบว่าสามีของเธอ นายสงวน หรือ "บาส" อายุ 27 ปี กำลังอยู่กับหญิงสาวอีกคน คือ น.ส.พจนารถ อายุ 23 ปี ซึ่งทำงานเป็นเด็กเอ็นเตอร์เทน

 

เมื่อเห็นภาพตรงหน้า น.ส.วรวรรณเกิดความไม่พอใจ บันดาลโทสะทำร้ายร่างกาย น.ส.พจนารถอย่างรุนแรง จนเป็นเหตุให้เสียชีวิตในเวลาต่อมา ภายหลังเกิดเหตุ น.ส.วรวรรณได้เดินทางเข้ามอบตัวที่ สน.มีนบุรี โดยยอมรับสารภาพทั้งหมด พร้อมมีหลักฐานจากกล้องวงจรปิดยืนยันเหตุการณ์ ขณะนี้ตำรวจได้นำตัวผู้ต้องหาไปทำแผนประกอบคำรับสารภาพที่จุดเกิดเหตุแล้ว

 

 

พ่อของ น.ส.พจนารถ เปิดเผยว่า เหตุการณ์เกิดขึ้นเพียงไม่กี่วันหลังจากวันคล้ายวันเกิดของลูกสาวเมื่อวันที่ 16 เม.ย. ที่ผ่านมา โดยลูกสาวเพิ่งเริ่มงานใหม่ที่สถานบันเทิงย่านอ่อนนุชได้ไม่ถึงเดือน

 

หลังเกิดเหตุ ภรรยาต้องขับรถจากบ้านไปตามเขาที่ จ.สมุทรปราการ เพื่อให้รีบไปโรงพยาบาลทันที ซึ่งในเวลานั้น เขาได้เจอกับนายบาส สามีของผู้ก่อเหตุ โดยนายบาสเข้ามากราบเท้าขอขมา พร้อมยอมรับว่าแม้เลิกรากับ น.ส.วรวรรณ แล้ว แต่ฝ่ายหญิงยังหึงหวง เพราะลูกในท้องเป็นลูกของเขา และได้ให้เงินค่าทำศพจำนวน 20,000 บาท

 

พ่อกล่าวด้วยความสะเทือนใจว่า ลูกสาวเป็นเสาหลักของครอบครัว ทำงานเลี้ยงดูทั้งลูกและครอบครัว อีกทั้งก่อนหน้านี้ยังเคยต้องหยิบยืมเงินพ่อบ่อยครั้ง รายได้จากงานห้างไม่พอใช้ จึงตัดสินใจเปลี่ยนมาทำงานพีอาร์ในร้านอาหาร

 

"ผู้ก่อเหตุท้องถึง 7 เดือน แต่ยังมีแรงและใจที่จะทำร้ายคนอื่นขนาดนี้ โหดร้ายเกินไป ไม่คำนึงถึงเด็กในท้องของตัวเองเลย เรื่องนี้ยอมไม่ได้ ขอให้ตำรวจดำเนินการอย่างถึงที่สุด"

 

พ่อของผู้เสียชีวิตยังกล่าวต่อว่า ลูกสาวมีครอบครัวอยู่แล้ว คบกับสามีมา 3 ปี และมีลูกด้วยกัน 1 คน อายุประมาณ 1 ขวบ สามีทำงานเป็นไรเดอร์ ส่วนลูกสาวทำงานกะดึก ทำให้ไม่ค่อยเจอกัน ส่วนความสัมพันธ์กับชายอื่น เขาไม่ทราบรายละเอียด แต่ในฐานะผู้ชายคนหนึ่ง หากลูกสาวไปแย่งสามีคนอื่น ตนก็ไม่เห็นด้วย เพราะเป็นเรื่องไม่ถูกต้อง อย่างไรก็ตาม ต้องแยกแยะว่า สิ่งที่ผู้ก่อเหตุทำกับลูกสาวนั้นโหดเหี้ยมเกินไป

 

เขาย้ำว่า การลงมือทำร้ายถึงแก่ชีวิต โดยเฉพาะในขณะที่ผู้ก่อเหตุกำลังตั้งครรภ์ ถือเป็นพฤติกรรมที่ไม่อาจยอมรับได้ และขอให้เจ้าหน้าที่ดำเนินการตามกฎหมายอย่างเด็ดขาด