ระวัง! อาหารบางชนิด ห้ามอุ่นไมโครเวฟซ้ำ เสี่ยงเสียสุขภาพ

ระวัง! อาหารไทยบางชนิด ไม่ควรอุ่นไมโครเวฟซ้ำ เสี่ยงเสียรสชาติและอันตรายต่อสุขภาพ

ในยุคที่ความสะดวกสบายกลายเป็นปัจจัยสำคัญ การใช้ไมโครเวฟเพื่ออุ่นอาหารจึงได้รับความนิยมอย่างแพร่หลาย โดยเฉพาะอาหารที่เหลือจากมื้อก่อน แต่สำหรับอาหารไทยบางชนิด การอุ่นซ้ำในไมโครเวฟอาจไม่เหมาะสม และอาจส่งผลเสียทั้งด้านรสชาติและสุขภาพของผู้บริโภค

อาหารไทยที่ไม่ควรอุ่นไมโครเวฟซ้ำ

1.แกงกะทิทุกชนิด

แกงกะทิ เช่น แกงเผ็ด แกงเขียวหวาน เมื่อผ่านความร้อนซ้ำในไมโครเวฟ อาจทำให้ไขมันกะทิแยกตัว รสชาติเปลี่ยนไปจนไม่อร่อย และยังทำให้อาหารเสียเร็วขึ้น นอกจากนี้ กะทิที่อุ่นซ้ำหลายครั้งยังเสี่ยงต่อการเกิดสารพิษบางชนิดที่เป็นอันตรายต่อร่างกาย

2.ไข่เจียวและไข่ต้ม

การอุ่นซ้ำไข่ในไมโครเวฟอาจทำให้เนื้อไข่แข็งกระด้าง เกิดฟองในไข่จนเกิดการระเบิดได้ ซึ่งนอกจากจะเสียรสชาติ ยังเป็นอันตรายต่อผู้ใช้ไมโครเวฟด้วย

3.ปลาทอดและของทอด

อาหารประเภททอด เมื่อถูกอุ่นซ้ำในไมโครเวฟ จะเสียความกรอบ มีเนื้อสัมผัสเหนียว หรือเกิดกลิ่นคาวไม่พึงประสงค์ ทำให้รสชาติไม่อร่อยเหมือนเดิม

4.ผัดไทยและก๋วยเตี๋ยว

เส้นก๋วยเตี๋ยวหรือผัดไทย เมื่ออุ่นไมโครเวฟซ้ำจะทำให้เส้นเหนียวและเสียความนุ่ม ผักในจานจะเหี่ยวและมีน้ำเยอะ ทำให้เสียรสชาติและความสดใหม่

5.ส้มตำ

เป็นอาหารสดที่ไม่ควรนำไปอุ่นซ้ำ เนื่องจากจะทำให้ผักเหี่ยวและเสียรสชาติ ทำให้เสียความสดกรอบและรสเปรี้ยวหวานที่เป็นเอกลักษณ์

6.ต้มยำ

อาหารที่มีส่วนผสมของเครื่องต้มยำ เมื่ออุ่นซ้ำอาจทำให้รสชาติเผ็ดเปรี้ยวเปลี่ยนแปลงและกลิ่นหอมของสมุนไพรลดลง หรือมีกลิ่นเหม็นหืนได้

7.แกงส้ม

การอุ่นซ้ำแกงส้มบ่อย ๆ อาจทำให้รสเปรี้ยวเปลี่ยนไป และกลิ่นแกงเสีย ทำให้อาหารไม่น่ารับประทาน

 

คำแนะนำในการเก็บและอุ่นอาหารไทย

เพื่อรักษาคุณภาพและความปลอดภัยของอาหารไทย ควรเก็บอาหารที่เหลือในภาชนะที่สะอาดและมีฝาปิดสนิทในตู้เย็นทันทีหลังรับประทาน และไม่ควรเก็บอาหารไว้นานเกิน 1-2 วัน ก่อนอุ่นควรใช้วิธีอุ่นด้วยไฟอ่อน หรือใช้กระทะอุ่นแทนไมโครเวฟเมื่อต้องการรักษารสชาติ

สำหรับอาหารที่ไม่ควรอุ่นซ้ำ ควรแบ่งรับประทานในปริมาณที่พอดี เพื่อหลีกเลี่ยงการเก็บเหลือและอุ่นซ้ำหลายครั้ง ซึ่งอาจส่งผลเสียต่อสุขภาพในระยะยาว

การใส่ใจเลือกวิธีเก็บและอุ่นอาหารไทยอย่างถูกต้อง ไม่เพียงช่วยรักษารสชาติให้ยังอร่อยเหมือนใหม่ แต่ยังช่วยป้องกันปัญหาสุขภาพที่อาจเกิดขึ้นได้ในอนาคต