เพื่อนเล่านาทีเหี้ยม พ่อเลี้ยงโหดยืมเลื่อย สารภาพสิ้นก่อนหลบหนี

จากกรณีเมื่อกลางดึกที่ผ่านมา ( 3 ก.ค.) เกิดคดีสะเทือนขวัญชายวัย 29 ปี ก่อเหตุใช้ไม้เบสบอลตีลูกเลี้ยงวัย 13 ปีจนเสียชีวิต แล้วนำร่างไปใส่ในถังน้ำแข็ง ก่อนโบกปูนปิดทับ เพื่ออำพรางศพ เจ้าหน้าที่กู้ภัยต้องช่วยกันงัดถังปูนเพื่อนำร่างผู้ตายออกมา  ตำรวจสน.บางเขน รับแจ้งภายในซอยพหลโยธิน 48 ถนนพหลโยธิน เขตบางเขน กรุงเทพมหานคร

ตรวจสอบพบถังพลาสติก ขนาด 200 ลิตร สีน้ำเงิน มีดิน ถมอยู่ชั้นบนสุด เมื่อรื้อหน้าดินออก พบปูนโบกทับในชั้นรองลงมา เจ้าหน้าที่ช่วยกันทุบทำลาย ก่อนจะพบ ถุงขยะสีดำและผ้าขนหนูสีชมพูห่อหุ้มร่างเด็กหญิงเอาไว้ สภาพเปลือยกาย คาดว่าเสียชีวิตมาแล้วประมาณ 48 ชั่วโมง

โดยขณะนี้เจ้าหน้าที่สืบสวน ตำรวจนครบาล กำลังติดตามตัว นายยุทธนา มาดี (แจ๊บ) อายุ 29 ปี ) ซึ่งได้ก่อเหตุ ใช้ไม้เบสบอลตีลูกสาว(ลูกเลี้ยง) วัย 12 ปี เสียชีวิต ก่อนนำร่างยัดถังน้ำแข็ง และโบกปูนทับเพื่ออำพรางคดี โดยอยู่ในระหว่างหลบหนี ที่เกิดเหตุซอยพหลโยธิน 48 พื้นที่ สน.บางเขน จากการตรวจสอบประวัติเบื้องต้น พบ นายยุทธนา มาดี เคยมีประวัติการใช้ยาเสพติด ในข้อหาครอบครอง และเสพยาเสพติดให้โทษประเภท 1  หากประชาชนท่านใด มีข้อมูลเบาะแสของนายยุทธนา มาดี สามารถแจ้งได้ที่เพจ “สืบนครบาล IDMB”

ทั้งนี้ทางด้านของ นายแบงค์ เพื่อนผู้ก่อเหตุ เผยว่า เมื่อกลางดึกวันอาทิตย์ (ตีสามวันจันทร์) ผู้ก่อเหตุได้โทรมาขอยืมอุปกรณ์ประเภทเลื่อยและเครื่องตัด และถังน้ำแข็ง ผู้ก่อเหตุอ้างว่านำไปทำชั้นวางของตัวเองจึงให้ยืมเลื่อยกับกับเครื่องตัดไป ก่อนผู้ก่อเหตุนำอุปกรณ์มาคืนบอกว่าไม่สามารถใช้ได้ จะติดต่อกลับมาภายหลังในช่วงตอนเวลาประมาณ 21:00 น ของวันจันทร์ โดยสารภาพว่าได้ฆ่าเด็ก จนเสียชีวิต จึงได้ร่ำลากันก่อนหายตัวไป

ช่วงแรกไม่เชื่อเพราะคิดว่าเพราะคิดว่าผู้ก่อเหตุมีอาการหลอนยาเสพติด เนื่องจากมีการใช้สารเสพติดอยู่บ่อยครั้ง ก่อนจะมาทราบในภายหลังว่าเกิดเหตุขึ้นจริง ทั้งนี้แฟนของผู้ก่อเหตุยังเล่าให้ฟังอีกว่าขณะเกิดเหตุเด็กหญิงคนดังกล่าว ได้ได้แอบขโมยกินสินค้าออนไลน์ที่กำลังจะจัดส่ง ทำให้ผู้ก่อเหตุโมโหใช้ไม้เบสบอลกระหน่ำตีจนเด็กมีอาการชักเกร็งและตีซ้ำอีกทีจดแน่นิ่งไป จากนั้นผู้ก่อเหตุก็พยายามหาอุปกรณ์ถังน้ำแข็งและอุปกรณ์มาอำพรางศพ ซึ่งตัวของแฟนผู้ก่อเหตุได้เก็บเรื่องราวมาตลอด แล้วถูกสั่งให้ลบภาพจากกล้องวงจรปิด แต่เจ้าตัวไม่ลบพร้อมนำหลักฐานเข้าแจ้งความกับตำรวจในเวลาต่อมา