แม่เอะใจ ลูกดื่มน้ำเยอะผิดปกติ วันละ 30 ลิตร ก่อนรู้สาเหตุ ที่แท้อันตรายมาก
แม่เอะใจ ลูกชายดื่มน้ำเยอะผิดปกติ วันละ 30 ลิตร ก่อนรู้สาเหตุถึงกับตกใจ ที่แท้เป็นโรคหายาก บอกเลยอันตรายมาก!
เรียกได้ว่าเป็นอีกหนึ่งเรื่องราวสุดแปลก เมื่อเว็บไซต์ต่างประเทศรายงานว่า คุณแม่รายหนึ่งอาศัยอยู่ในมณฑลเจียงซี ประเทศจีน รู้สึกกลุ้มใจอย่างมาก หลังพบว่าลูกชายวัย 14 ปี ดื่มน้ำมากแบบผิดปกติ โดยเขาดื่มน้ำถึงวันละ 30 ลิตร จนทำให้พ่อแม่เป็นกังวลอย่างมาก ก่อนรู้สาเหตุที่แท้เพราะอาการป่วย บอกเลยอันตรายมาก
โดยรายงานระบุว่า เด็กชายคนนี้มีชื่อว่า "หวังเหลียง" เขาดื่มน้ำมากมาตั้งแต่ยังแบเบาะ เดิมทีพ่อแม่คิดว่าเป็นเรื่องปกติและรู้สึกดีที่ลูกสามารถกินดื่มได้ดีมาก แต่เมื่อเด็กชายอายุ 14 ปี ทุกอย่างก็อยู่นอกเหนือการควบคุม อีกทั้งเขายังจะอารมณ์เสีย รู้สึกอึดอัดและหงุดหงิดมาก หากไม่ได้ดื่มน้ำตามที่ต้องการ หนักสุดถึงขั้นชัก ซึ่งแม่ของหวังเหลียงจำได้ว่า ทุกอย่างเริ่มตั้งแต่ปี 2547 ในคืนหนึ่งขณะที่เธออุ้มลูกชายไปเข้านอน อยู่ๆ เขาก็ร้องจะกินน้ำ เธอคิดว่าลูกหิวน้ำเฉยๆ จึงเทน้ำมาให้เขาแก้วใหญ่ จากนั้นเขาก็เริ่มมีเหงื่อออกมาก และขอดื่มน้ำไม่หยุด
หลังจากนั้น เช้าวันต่อมาลูกชายไปตักน้ำในครัวมา 2 แก้วใหญ่ และยกดื่มรวดเดียวก่อนจะนั่งกินข้าว อีกทั้งระหว่างมืออาหาร เด็กชายยังกินซุปไปอีกชามใหญ่ ทำให้แม่แปลกใจนึกว่าเขากระหายน้ำเพราะเธอปรุงอาหารเค็ม แต่ลูกชายปฏิเสธ บอกว่าเขาแค่อยากดื่มน้ำเท่านั้น ต่อมาแม่เริ่มรู้สึกว่ามีสิ่งผิดปกติ แต่เธอยังเห็นลูกชายแข็งแรงดี และไปเล่นกับเพื่อนๆ ได้ เลยโทษว่าคงเป็นเพราะอากาศร้อน แถมเด็กๆ ยังชอบวิ่งและกระโดดไปกระโดดมา จะหิวน้ำก็ไม่แปลก แมเมื่อรู้ว่าลูกจะดื่มน้ำเยอะจึงมักจะต้มหม้อใหญ่ๆ ไว้ให้ลูกได้ดื่มทุกวัน
ในเวลาต่อมาแม่ลองพาลูกชายไปตรวจร่างกายที่โรงพยาบาลในท้องถิ่น แพทย์ยืนยันว่าเด็กปกติดี ตัวชี้วัดพัฒนาการก็อยู่ในเกณฑ์ดี ทำให้แม่ยิ่งมั่นใจว่าลูกชายแข็งแรงดี และมักเตรียมน้ำปริมาณมากไว้ให้ลูกชายดื่ม ซึ่งนิสัยดื่มน้ำมากยังติดตัวลูกชายไปจนเมื่อเขาอายุ 6 ขวบ เข้าเรียนชั้นประถม ทุกๆ วันเจ้าหนูจะพกขวดน้ำ 1.5 ลิตร จำนวน 2 ขวดไปโรงเรียนด้วย ซึ่งนั่นทำให้เพื่อนและครูต่างก็ประหลาดใจ อย่างไรก็ตาม น้ำปริมาณเท่านั้นพอดื่มแค่ตอนเช้า เมื่อถึงคาบเรียนที่ 4 เด็กชายที่น้ำดื่มหมดแล้วก็จะรู้สึกหงุดหงิดและอึดอัด
ทั้งนี้ พฤติกรรมประหลาดของเขาดึงดูดความสนใจของครูที่โรงเรียน เนื่องจากเด็กชายมักจะยกน้ำดื่มทุก ๆ 2-3 นาที ซึ่งส่งผลต่อสมาธิในการเรียนของเพื่อนๆ ทั้งชั้น ในที่สุดครูก็ตัดสินใจมาคุยกับแม่ของเขา แนะนำให้ลูกชายไปพบแพทย์ แต่คำพูดของครูเริ่มทำให้แม่ไม่สบายใจที่หวังเหลียงดื่มน้ำมาก เธอมั่นใจว่าลูกแข็งแรงดีเพราะเคยไปตรวจที่โรงพยาบาลมาแล้ว ดังนั้น เธอจึงเลือกที่จะหันไปพึ่งหมอดูในหมู่บ้าน หวังว่าจะช่วยมาไล่ผีให้ลูกชาย แต่ก็ต้องเสียเงินไปเปล่าๆ
ระหว่างนั้นแม่ยังพยายามให้ลูกชายปรับปรุงพฤติกรรมการดื่มน้ำ จึงควบคุมไม่ให้เขาดื่มน้ำเป็นเวลานาน 30 นาที แต่ลูกชายกลับทนไม่ไหว หงุดหงิด อารมณ์เสีย เขาเริ่มทุบตีคนอื่นและขว้างปาข้าวของ ครั้งหนึ่งถึงขั้นลงไปชักอยู่กลางบ้าน ด้วยความกลัวแม่จึงรีบยื่นน้ำให้เขาดื่ม และนั่นก็ทำให้ลูกชายกลับมาเป็นปกติ
จนกระทั่งเมื่อปี 2559 หวังเหลียงที่เข้าเรียนชั้นมัธยมก็ดื่มน้ำมากถึงวันละ 10 ลิตร และยิ่งดื่มมากกว่านั้นอีกในปีต่อไป จนจุดหนึ่งเขาดื่มน้ำถึงวันละ 30 ลิตร เรียกว่าเวลาในแต่ละวันแทบจะหมดไปกับการดื่มน้ำ ไม่ว่าแม่ของเขาจะไหว้พระ หาหมอดู แต่อาการของลูกชายก็ไม่ดีขึ้น ในที่สุดแม่จึงพาหวังเหลียงไปตรวจสุขภาพที่โรงพยาบาลในเมืองใหญ่ ซึ่งหลังตรวจร่างกาย แพทย์ก็ยืนยันว่าไม่พบอาการผิดปกติ แต่ก็ตัดสินใจจะให้เด็กชายนอนดูอาการที่โรงพยาบาล 2 วัน เพื่อเฝ้าติดตามอาการ ตอนนั้นเองที่พวกเขาค้นพบโรคที่แฝงอยู่ของเด็กชาย
ซึ่งในระหว่างอยู่ในโรงพยาบาล แพทย์พบว่าเด็กชายเข้าห้องน้ำบ่อยมากตอนกลางคืน เมื่อวัดปริมาณปัสสาวะที่เด็กชายขับถ่าย มีมากถึงวันละ 25 ลิตร จากนั้นเมื่อทำการตรวจเช็กอย่างอื่นเพิ่มเติม ก็พบว่าจริงๆ แล้วเด็กชายป่วยเป็น "โรคเบาจืด" (diabetes insipidus) เป็นโรคหายากที่ทำให้ร่างกายขาดสมดุลของน้ำ ผู้ป่วยจะปัสสาวะปริมาณมาก จึงทำให้เขาเกิดความกระหายน้ำมากกว่าปกติ
อย่างไรก็ตาม หลังความจริงปรากฏทำให้แม่รู้สึกอับอายที่ไม่ใส่ใจลูกชายให้มากพอ เธอคิดว่าหากพาลูกมาตรวจที่โรงพยาบาลใหญ่ ๆ เร็วกว่านี้ ลูกก็คงไม่ต้องสูญเสียช่วงเวลาอันมีค่าไปเพราะอาการป่วย สุขภาพและการเรียนของลูกก็คงดีกว่านี้ และหลังจากที่แพทย์เริ่มทำการรักษาด้วยการให้ยา เด็กชายก็ลดปริมาณน้ำที่ดื่มลงเรื่อยๆ โดยหลังจากผ่านไป 1 เดือน เขาก็ดื่มน้ำลดลงเหลือวันละ 10 ลิตร และหลังจากรักษาตัวได้ 1 ปี พฤติกรรมการดื่มน้ำของเขาก็กลับมาเหมือนคนปกติ แต่ยังต้องใช้ยาเพื่อควบคุมอาการ โดยแพทย์ได้เตือนถึงผู้ปกครอง หากพบว่าลูกเกิดความผิดปกติหรือมีอาการป่วย ควรรีบพามาพบแพทย์โดยเร็ว ก่อนที่อาการจะแย่ลงจนเป็นอันตรายได้