"พิธา" ต่อสายตรงยินดี "เศรษฐา" นั่งนายกฯ รอดูโฉมหน้าครม. ขอแค่ฟังเสียงปชช.
นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ เผยโทรยินดี นายเศรษฐา ทวีสิน นั่งนายกฯคนที่30 รอดูโฉมหน้าครม. ขอแค่ฟังเสียงของประชาชน
สืบเนื่องจากกรณีที่ นายเศรษฐา ทวีสิน ได้รับเลือกเป็นนายกรัฐมนตรีใหม่ หลังจากที่ได้รับเสียงข้างมากจากการโหวตของ สส.และ สว.ในสภาอย่างท่วมท้น และได้มีพิธีรับพระบรมราชโองการการโปรดเกล้าฯ เพื่อเป็นนายกรัฐมนตรีคนที่ 30 ของประเทศไทย ไปเป็นที่เรียบร้อยแล้วนั้น
ล่าสุดเมื่อวันที่ 25 ส.ค.2566 ทางด้าน นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ หัวหน้าพรรคก้าวไกล ได้ให้สัมภาษณ์ขณะลงพื้นที่ช่วยนายพงศธร ศรเพชรนรินทร์ ผู้สมัคร สส.เขต 3 จ.ระยอง หาเสียงเลือกตั้งซ่อม ว่า พรรคก้าวไกลจะเป็นฝ่ายค้านเชิงรุก ยังมีหลายนโยบายที่ทำงานได้โดยการผลักดันกฎหมายเข้าสภา และยังมีกฎหมายสำคัญสำหรับชาวระยอง เช่น กฎหมายสิ่งแวดล้อม PRTR และกฎหมายแรงงาน ซึ่งจะเป็นการทำงานเชิงรุกเพื่อให้ผลประโยชน์ตกกับประชาชนได้เหมือนเดิม แม้ไม่ 100% แต่หวังว่าจะเป็นการปูทาง เมื่อการเลือกตั้งครั้งหน้ามาถึง จะสามารถซื้อใจประชาชนได้มากกว่าเดิม ถ้าตั้งรัฐบาลได้ก็จะสามารถแก้ไขปัญหาได้
โดยนายพิธา ต่อสายตรงยินดี นายเศรษฐา นั่งนายกฯ โดยได้กล่าวว่า ตนได้โทรไปยินดี และยืนยันกับนายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรีคนใหม่ ด้วยตัวเอง โดยได้ยินดีกับตำแหน่งนายกรัฐมนตรีคนที่ 30 และยืนยันว่าวิกฤตของบ้านเมืองไม่ใช่แค่วิกฤตเกี่ยวกับเศรษฐกิจ วิกฤตเกี่ยวกับสิ่งแวดล้อม และการศึกษาอย่างเดียว แต่เป็นวิกฤตศรัทธาของประชาชนที่เกิดขึ้น โดยเฉพาะการได้ฟังเสียงของประชาชนจากการลงพื้นที่ ซึ่งเป็นสิ่งที่ผู้นำคนต่อไปต้องแก้ไข โดยการรวมความคิดของคนในชาติให้กลับมาอยู่เป็นปึกแผ่นเดียวกันได้
โดยนายพิธากล่าวอีกว่า ท่านจะเป็นนายกฯของประชาชน ตนก็อวยพรว่า ให้ท่านทำได้อย่างนั้นจริงๆ และตราบใดที่นายเศรษฐายังคำนึงอยู่ว่าอำนาจอธิปไตยสูงสุดเป็นของประชาชน แล้วทำหน้าที่โดยไม่ได้ใช้อำนาจอย่างเด็ดขาด แต่ฟังเสียงของประชาชน เป็นตัวแทนของประชาชนได้เยอะๆ ก็เชื่อว่านายเศรษฐาจะทำได้
ส่วนการบริหารงานของรัฐบาล นายเศรษฐาจะทำงานได้ยากหรือไม่ เพราะมีการจับกันหลายขั้วและอาจจะมีการต่อรองกันสูง นายพิธา กล่าวว่า คิดว่าคงยากเป็นพิเศษ ก็คงต้องดู โผ ครม.ที่ออกมา เท่าที่ติดตามดูในข่าว เห็นนายสมศักดิ์ เทพสุทิน แกนนำพรรคเพื่อไทยบอกว่าจะออกมาสัปดาห์หน้า ตนก็อยากจะฟังในสิ่งที่ตนและนายเศรษฐาเคยพูดร่วมกันในเวทีดีเบตหลายๆเวที ที่พูดเรื่องการปฏิรูปกองทัพ และการสมรสเท่าเทียม และสุราก้าวหน้า ก็ต้องดูว่าใครจะมาเป็นรัฐมนตรีกลาโหม และคนที่จะมาดูแลกระทรวงต่างๆจะเป็นใคร จะผลักดันได้จริงหรือไม่
ก็ยังหวังว่า การกู้วิกฤตศรัทธาที่ตนมองว่าเป็นวิกฤตที่เข้ามาเพิ่มเติมตลอด 8 ปีที่ผ่านมา จะเกิดการแก้ไข และเรียกศรัทธาให้กลับมาสู่การเมืองไทย และส่วนตัวก็ยังยืนยันที่จะทำงานตรวจสอบถ่วงดุล เพื่อให้การทำงานเป็นไปอย่างบริสุทธิ์ ยุติธรรม และปราศจากคอรัปชั่นให้มากที่สุดเท่าที่เป็นไปได้
เมื่อถามถึงว่าดูหน้าตาของรัฐมนตรีตามโผ ครม.แต่ละกระทรวงที่ออกมาตอนนี้แล้ว มีความเป็นห่วงกระทรวงไหนเป็นพิเศษหรือไม่ นายพิธา ระบุว่า เป็นห่วงทุกกระทรวง เพราะแต่ละกระทรวงมีปัญหาหลายเรื่อง อย่างกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม มีปัญหาเรื่องน้ำมันรั่วที่ จังหวัดระยอง ทั้งในปี 2556 และปี 2565 จึงเป็นสิ่งที่ต้องใช้ความเชี่ยวชาญเป็นพิเศษ และเรื่องเศรษฐกิจก็ต้องทำงานแบบมหภาค ต้องมีทั้งกระทรวงพาณิชย์ กระทรวงต่างประเทศ กระทรวงอุตสาหกรรม กระทรวงวัฒนธรรม ต้องทำงานร่วมกัน ซึ่งหลายอันก็เป็นห่วงว่าบุคลากรจะเหมาะสมหรือไม่ เพราะพอต่างพรรคกัน การแก้ปัญหาไม่ใช่แค่ทีละกระทรวง แต่จะทำงานตั้งแต่ต้นน้ำถึงปลายน้ำได้หรือไม่ ก็เป็นเรื่องที่กังวล
ส่วนกระแสข่าวว่ากระทรวงกลาโหมโควต้าจะเป็นคนนอก ไม่ได้มาจากพรรคการเมืองนั้น นายพิธา กล่าวว่า การตั้งรัฐมนตรีจะคนในหรือคนนอกไม่สำคัญ แต่สำคัญที่ว่า สามารถทำตามนโยบายที่หาเสียงไว้ได้หรือไม่ และถ้ามีความคิดที่ตรงข้ามกับนิยามของความมั่นคงหรือจะทำอย่างไรให้ประเทศชาติมีความมั่นคง กองทัพจะต้องมีความทันสมัยมากขึ้น เรื่องนี้จึงต้องมีบุคลากรที่เข้าใจ เรื่องนิยามทางความมั่นคงที่ท้าทายในศตวรรษที่ 21 จริงๆ ถึงจะทำได้ และทำอย่างไรให้ตรงกับศรัทธาของประชาชนที่เคยให้ไว้ และความท้าทายจากทั่วทุกสารทิศ