รัดเกล้า เผย รทสช. ยินดี ที่ได้เป็นส่วนหนึ่งผลักดันร่างกฎหมายสมรสเท่าเทียม
รัดเกล้า อินทวงศ์ สุวรรณคีรี เผย รทสช. ยินดีที่ได้เป็นส่วนหนึ่งผลักดัน ร่างกฎหมายสมรสเท่าเทียม ถือเป็นการพลิกหน้าประวัติศาสตร์ด้านความเท่าเทียมทางเพศ
27 มี.ค. 67 นางรัดเกล้า อินทวงศ์ สุวรรณคีรี รองโฆษกพรรครวมไทยสร้างชาติ และอดีตโฆษกคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาร่างพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) แก้ไขประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ (ฉบับที่ …) พ.ศ. … เปิดเผยว่า
ที่ประชุมสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรในวันนี้ (27 มี.ค. 67) ได้มีมติเห็นชอบร่างพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) แก้ไขประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ (ฉบับที่ …) พ.ศ. … หรือร่างกฎหมายสมรสเท่าเทียมในวาระที่ 2 และ 3 ด้วย 400 เสียงต่อ 10 เสียง หลังจากนี้คือการนำเข้าสู่การพิจารณาของวุฒิสภา ซึ่งหากวุฒิสภาให้ความเห็นชอบแล้ว จึงจะนำขึ้นทูลเกล้าฯ เพื่อประกาศใช้เป็นกฎหมายต่อไป โดยจะมีผลบังคับใช้ 120 วันหลังจากประกาศในราชกิจจานุเบกษาแล้ว
สำหรับร่างกฎหมายดังกล่าวมีสาระสำคัญในการให้สิทธิแก่ผู้มีความหลากหลายทางเพศ เช่น การให้บุคคลสองคนไม่ว่าเพศใดก็ตามสามารถสมรสกันได้ การเรียกค่าทดแทนและเหตุฟ้องหย่าระหว่างคู่สมรส การให้สิทธิคู่สมรสตามกฎหมายต่าง ๆ รวมทั้งการแก้ไขอายุของผู้มีสิทธิหมั้นหรือสมรสต้องมีอายุ 18 ปีขึ้นไป ซึ่งจากเดิมกำหนดไว้ที่ 17 ปี
พรรครวมไทยสร้างชาติมีความยินดีที่ได้เป็นส่วนสำคัญในการแก้ไขเพิ่มเติมกฎหมายสมรสเท่าเทียม ซึ่งเป็นกฎหมายที่สำคัญที่จะเป็นจุดเริ่มในการสร้างครอบครัวที่แข็งแรง สร้างความสมดลระหว่างสิทธิและศักดิ์ศรี และยังเป็นการปกป้องค่านิยม ความเชื่อ ความศรัทธา และวัฒนธรรมของไทย และยังเป็นการพลิกหน้าประวัติศาสตร์ของการสมรสของผู้มีความหลากหลายทางเพศที่จะได้รับสิทธิและสวัสดิการอย่างเท่าเทียมกัน ซึ่งเป็นสิ่งที่พรรครวมไทยสร้างชาติเห็นด้วยและผลักดันมาโดยตลอด
“จากที่ได้เจอตัวแทนทูตหลาย ๆ ประเทศในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา เช่น ฝรั่งเศส และออสเตรเลีย จะเห็นได้เลยว่าทั่วโลกจับตาดูประเทศไทยอยู่ การผ่านกฎหมายสมรสเท่าเทียมนี้ถือเป็นนิมิตหมายที่ดีของประเทศไทย ซึ่งจะเป็นประเทศแรกในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ที่มีกฎหมายสมรสเท่าเทียมด้วยระบอบประชาธิปไตยโดยมีภาคประชาชนและภาคการเมืองเป็นกำลังขับเคลื่อนสำคัญ
ขอแสดงความยินดีกับ LGBTQIA+ ในประเทศไทยทุกคน ที่ใกล้ที่จะสามารถสมรสกันได้อย่างเท่าเทียมแล้ว การผ่านกฎหมายนี้ไม่ใช่เป็นเพียงแค่การผ่านกฎหมาย แต่เป็นการเปลี่ยนแปลงเชิงสัญลักษณ์ว่าประเทศไทยพร้อมที่ให้ความสำคัญกับประเด็นความเท่าเทียมทางเพศ และยอมรับความแตกต่างหลากหลายซึ่งเป็นเสน่ห์ของค่านิยมที่ถูกปลูกฝังในวัฒนธรรมของคนไทย
นอกเหนือจากเป็นการเปลี่ยนแปลงในด้านกฎหมายและสังคมแล้ว ยังเป็นการสร้างภาพลักษณ์ให้ประเทศไทยนำไปสู่ประโยชน์ด้านการท่องเที่ยวและเศรษฐกิจได้ในอนาคต” นางรัดเกล้ากล่าว