ประเด็นสิทธิมนุษยชนที่ถูกละเลย กับข้อกฎหมายการส่งตัวกลับประเทศ
ประเด็นสิทธิมนุษยชนที่ถูกละเลย กับข้อกฎหมายการส่งตัวกลับประเทศ สำหรับบุคคลผู้ที่ได้รับผลกระทบ อาจจะมีความรุนแรง ความเจ็บปวด และเป็นบาดแผลที่จะอยู่ในใจของคนเหล่านั้นไปตลอดกาล
สำหรับประเด็นปัญหาด้านสิทธิมนุษยชนที่ครอบคลุมอยู่ทั่วโลก ประเด็นสำคัญต่าง ๆ มักจะถูกปิดไว้จากความสนใจของนานาชาติ และประเด็นที่เป็นข้อกังวลอีกประการหนึ่งคือการถูกบังคับให้ส่งตัวกลับประเทศ ที่ถือเป็นการละเมิดและเป็นการทำร้ายจิตใจหรือบางกรณีอาจจะรุนแรงไปถึงร่างกาย
ทำให้บุคคลที่ตกเป็นเป้า ต้องลี้ภัยออกจากบ้านเกิด อีกทั้งยังทำให้บุคคลเหล่านั้นตกอยู่ท่ามกลางชีวิตที่ไม่มีความแน่นอน การบังคับส่งตัวกลับประเทศมักจะเป็นกรณีที่เกิดขึ้น แม้ว่าการส่งกลับประเทศต้นทางนั้น อาจจะขัดต่อความประสงค์ของบุคคลดังกล่าวก็ตาม
ซึ่งสิ่งที่อาจจะเกิดตามมาอาจจะส่งผลไม่ดีต่อผู้ถูกกระทำนัก ไม่ว่าจะเป็นการเกิดความเสี่ยงต่อการถูกประหัตประหาร ความรุนแรง และความไม่มั่นคงในชีวิต ยิ่งไปกว่านั้นการถูกปฏิบัติที่ร้ายแรงที่กล่าวมาข้างต้นนั้น อาจจะมีกรณีที่ข้อเท็จจริงถูกปิดบังหรืออาจจะเกิดจากปัญหาการละเลยในเรื่องของสิทธิมนุษยชนที่ถูกมองข้ามไป แต่สำหรับบุคคลผู้ที่ได้รับผลกระทบ อาจจะมีความรุนแรง ความเจ็บปวด และเป็นบาดแผลที่จะอยู่ในใจของคนเหล่านั้นไปตลอดกาล
การบังคับส่งตัวกลับประเทศเกิดขึ้นมากมาย โดยเฉพาะในพื้นที่ที่มีความขัดแย้งหรือภูมิภาคที่ได้รับผลกระทบจากความไม่มั่นคงทางการเมือง ผู้ลี้ภัยและที่ต้องหนีออกจากประเทศของตัวเองเพื่อหาความปลอดภัยและการคุ้มครอง และในบางครั้งผู้ลี้ภัยเหล่านั้นอาจพบว่าตนเอง ต้องมาเผชิญกับการถูกบังคับให้ส่งตัวกลับประเทศ เนื่องจากประเทศที่ตนลี้ภัยมาต้องจัดการกับภาระของประชากรที่พลัดถิ่นจำนวนมาก ผู้ลี้ภัยมากมายที่ต้องทนทุกข์กับความบอบช้ำทางจิตใจและความวุ่นวายมามากมาย
แต่ยังถูกผลักกลับไปสู่สภาพแวดล้อมที่เต็มไปด้วยอันตราย ซึ่งความปลอดภัยและสิทธิมนุษยชนขั้นพื้นฐานของคนกลุ่มนั้นอาจถูกบุกรุกอย่างร้ายแรง องค์กรที่เกี่ยวข้องจึงควรผลักดันให้เกิดในการติดตามและป้องกันการส่งตัวผู้ลี้ภัยกลับประเทศมากขึ้น เพื่อเป็นการปกป้องผู้เปราะบาง และสนับสนุนหลักการที่บัญญัติอยู่ในกฎหมายสิทธิมนุษยชนระหว่างประเทศ.
กรณีของนายเฉอ จื้อเจียง (She Zhijiang) ที่เกิดขึ้นในประเทศไทย ถือเป็นอีกหนึ่งตัวอย่างที่มีการเรียกร้องให้ส่งผู้ร้ายข้ามแดนไปยังประเทศจีน โดยกรณีดังกล่าวที่เกิดขึ้นนั้นมีส่วนเกี่ยวข้องกับการพัฒนาเมืองใหม่ย่าไท่ (Yatai) ในรัฐชเวโก๊กโก่ (Shwe Kokko) ประเทศเมียนมาร์คำร้องขอส่งผู้ร้ายข้ามแดนตามที่นายเฉอ จื้อเจียง กล่าวมานั้นเกิดจากผลประโยชน์ทางการเมืองที่ขัดแย้งกัน
กรณีของนายเฉอ จื้อเจียง แสดงให้เห็นปัญหาเกี่ยวกับกฎหมายระหว่างประเทศและการบังคับส่งตัวกลับประเทศอย่างไม่เหมาะสม ในขณะที่เจ้าตัวได้กล่าวว่า ตัวเขาได้เปลี่ยนสัญชาติเป็นพลเมืองกัมพูชาแล้ว นอกจากนี้ นายเฉอ จื้อเจียง ได้ปฏิเสธอย่างหนักแน่นว่าตน มีส่วนเกี่ยวข้องกับคดีการค้ามนุษย์และการหลอกลวงทางไซเบอร์ในเมืองชเว โก๊กโก่ รวมไปถึงการกระทำใดก็ตามที่ที่ผิดกฎหมายและเกี่ยวข้องกับความเป็นพลเมือง เสรีภาพในย้ายถิ่น สิทธิมนุษยชน ซึ่งสะท้อนให้เห็นถึงชะตากรรมของตัวเขาเองด้วย
หากพูดถึงผลกระทบมีผู้คนจำนวนไม่น้อยจากทั่วโลกที่ได้รับผลกระทบจากการถูกบังคับให้ส่งตัวกลับ และผู้คนเหล่านี้มักถูกละเลย ถูกมองเป็นคนนอกจากกระบวนการการพิจารณาคดีต่าง ๆ กรณีการถูกบังคับให้ส่งตัวกลับประเทศได้ส่งผลต่อวิถีชีวิตแบบดั้งเดิม รวมไปถึงการกัดกร่อนมรดกทางวัฒนธรรมและการถูกปฏิเสธสิทธิในการตัดสินใจของบุคคลเหล่านั้นอีกด้วย
กล่าวโดยสรุปคือ ความซับซ้อนของปัญหาสิทธิมนุษยชนที่ถูกมองข้าม รวมถึงการบังคับส่งตัวกลับประเทศนั้น ต้องมีการใช้แนวทางที่หลากหลาย การให้ความสำคัญกับการตระหนักรู้ที่เพิ่มมากขึ้น ขอบเขตกฎหมายที่แข็งแกร่ง และกลไกความรับผิดชอบให้มากกว่าเดิม สิ่งเหล่านี้จึงเป็นสิ่งจำเป็นในการต่อสู้กับการละเมิดที่ร้ายแรงเช่นนี้
เพื่อให้ชะตากรรมของผู้ที่ได้รับผลกระทบจากการถูกบังคับให้ส่งตัวกลับประเทศและการสนับสนุนสิทธิของบุคคลดังกล่าว การให้ความสนใจและความมุ่งมั่นที่จะสร้างโลกที่ทุกคนจะต้องได้รับเกียรติ ศักดิ์ศรี ความปลอดภัย และความเคารพที่ทุก ๆ คนพึงได้รับ ไม่ว่าสถานการณ์หรือต้นกำเนิดของคนเหล่านั้นจะเป็นอย่างไรก็ตาม