ชูวิทย์ จุดตะเกียง-ฝากเทียน ให้ ผบ.ตร.กับอัยการ ลั่น เผื่อว่าเทียนท่านจะหมด
ชูวิทย์จุดตะเกียง-ฝากเทียน ไปให้ผบ.ตร.กับอัยการ เหตุไม่เคยลงพื้นที่ผับจินหลิงแต่จะว่าความคดี เห็นท่านนั่งเทียนอยู่ เผื่อว่าเทียนท่านจะหมด
ชูวิทย์ จุดตะเกียง ฝากเทียน ผบ.ตร. อัยการ เหตุไม่เคยลงพื้นที่จินหลิงแต่จะว่าความคดี และยังเปิดพยานปากเอก ผู้รับเหมา เหยื่อตู้ห่าว พบ ค้างจ่ายสูงสุด 36 ล้านบาท พร้อมประเมินKPI ให้บิ๊กจ้าว 0 คะแนน เตรียมดันทุนจีนเทาอภิปรายกลางสภา ยืนยันว่าตนไม่กลัวอะไรอีกแล้ว
โดยเมื่อเวลา 14.00 น. วันที่ 5 ม.ค. ที่ โรงแรมเดอะเดวิส บางกอก ซ.สุขุมวิท 24 แขวงคลองตัน เขตคลองเตย กทม. นายชูวิทย์ กมลวิศิษฎ์ อดีตสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (ส.ส.) เปิดฉากด้วยการถือตะเกียง พร้อมกล่าวเปรียบเทียบ ว่า บ้านเมืองอยู่ในความมืดมิดไร้ความหวัง ไร้ผู้นำ ในการให้ความยุติธรรม ทั้งยังปักเทียนเปรียบเทียบว่า ผบ.ตร. และอัยการกำลังนั่งเทียนทำสำนวนคดี ทั้งที่พยานหลักฐานไม่แน่นหนาสำนวนอ่อน สังเกตได้จากการแถลงข่าวที่สำนักงานอัยยการสูงสุดและผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติเมื่อวานนี้ (4 ม.ค.66)
นายชูวิทย์ เปิดเผยว่า อันดับแรกตนต้องพูดให้ชัดว่าที่ดำเนินการมาคือการติเพื่อก่อ เนื่องจากเมื่อวานตนเห็นว่าอัยการและตำรวจมีการแถลงข่าวร่วมกัน เฉพาะเรื่องที่หลงจู๊ถูกยกฟ้องก็พูดไม่เต็มปากเต็มคำ ส่วนกล้องวงจรปิดที่ปรากฏภาพภรรยานายตู้ห่าวได้พาคนไปดูที่จังหวัดภูเก็ต คดีนี้นายตู้ห่าวก็หลุดคดี ที่สำคัญ ตนติเพราะการทำงานมันมีพิรุธมากไป อีกทั้งการแถลงข่าวเมื่อวานก็ทำให้สังคมไม่เชื่อถือ
ส่วนประเด็นที่มีนักข่าวไปสอบถามว่ากรณีที่นายชูวิทย์พูดถึงการทำงานของเจ้าหน้าที่ ถือว่าเป็นการหมิ่นหรือวิพากษ์วิจารณ์หรือไม่ นายชูวิทย์ ยืนยันว่าตนไม่กลัวอะไรอีกแล้ว เพราะสิ่งที่ตนพูดมันเป็นประโยชน์ต่อสาธารณชน ขอให้ไปถามเจ้าหน้าที่ได้เลยว่ามีสิ่งไหนที่ตนพูดแล้วเป็นเท็จบ้างหรือไม่
นายชูวิทย์ กล่าวอีกว่า สำหรับสำนวนของตำรวจ ตนขอฝากเทียนไปให้คนละเล่ม ประกอบด้วย พล.ต.อ.ดำรงศักดิ์ กิตติประภัสร์ ผบ.ตร. นายกุลธนิต มงคลสวัสดิ์ อธิบดีอัยการ สำนักงานการสอบสวน และนายโกศลวัฒน์ อินทุจันทร์ยง รองอธิบดีอัยการสำนักงานคุ้มครองสิทธิและช่วยเหลือทางกฎหมายแก่ประชาชน (สคช.) เเละในฐานะรองโฆษกสำนักงานอัยการสูงสุด เพราะท่านนั่งเทียนอยู่ เผื่อว่าเทียนท่านจะหมด เนื่องด้วยเห็นตำรวจบอกว่าทำงานทั้งวันทั้งคืน
ส่วนกรณีที่อัยการบอกว่าสำนวนตำรวจสมบูรณ์ครบถ้วนดีนั้น นายชูวิทย์ ระบุว่า แสดงว่าคุณอยู่ในฝั่งที่ดีเฟนด์ตน เพราะถ้าสำนวนมันสมบูรณ์ สังคมจะกลับมาดูหลักฐานที่ตนนำเสนอทำไม และการทำงานของตำรวจก็เป็นการเก็บหลักฐานแบบเว้นวรรค เว้นหลายวันค่อยเข้าตรวจค้น และอื่นๆอีกเช่น การกล่าวอ่างถึงเรื่องระเบียบ ป.ป.ส. ที่ทำให้ตำรวจเข้าตรวจค้นไม่ได้ หรือการขยักหลักฐาน ที่บอกว่ามีเยอะเพียงพอแล้ว ไม่ต้องใช้เพิ่ม หรือการปล่อยรถยนต์ของกลาง หรือการที่รองหมา (พ.ต.อ.ณัฐพล โกมินทรชาติ รอง ผบก.น.6 รักษาการแทน ผกก.สน.ยานนาวา) ปล่อยรถพอร์ชและปล่อยรถยนต์ 11 คันไว้ที่เกิดเหตุ ไม่มีการตรวจ อ้างว่าไม่มีกุญแจ รวมถึงการปล่อย Mr.Shirong Du ซึ่งเป็นคนที่ยืนอยู่ในบ่อนคาสิโนตามปรากฏในคลิปวงจรปิดที่ตนเผยแพร่ไปทางเฟซบุ๊ก นอกจากนี้ การตั้งข้อหากับรองหมาว่ามีการรับผลประโยชน์ ตนอยากถามว่ามีการสอบปากคำคนให้ประโยชน์รองหมาหรือยัง ซึ่งก็คือผู้หญิงชาวจีนรายหนึ่งที่ถือถุงกระดาษใส่เงินจำนวน 600,000 บาท ขึ้นไปยังห้องทำงานที่ สน.ยานนาวา โดยหญิงชาวจีนรายนี้ ชื่อ Zhou Shuailian
นายชูวิทย์ ยังอธิบายถึงผังสถานที่บริเวณอาคารผับจินหลิง ว่า หากสังเกตดีๆ ผับจินหลิงจะอยู่ด้านบน (ชี้ให้ดูภาพ) ซึ่งเป็นสถานที่สำหรับเสพยาเสพติด ส่วนอาคารลีลาจะอยู่ด้านล่างซ้าย เป็นสถานที่สำหรับบ่อนคาสิโน ขณะที่อาคารวิปวับ อยู่ด้านล่างขวา (ชี้ภาพผัง) ซึ่งอาคารลีลาตนทราบว่ามีการใช้เซิร์ฟเวอร์จำนวน 2 ตัว แต่มีกล้อง 68 ตัว เนื่องจากอาคารลีลามีบ่อนคาสิโน จึงใช้กล้องเยอะ ส่วนผับจินหลิง และอาคารวิปวับมีการใช้เซิร์ฟเวอร์ตัวที่ 3 ตัวที่ 4 ใช้กล้องอย่างละ 20 ตัว รวม 40 ตัว แต่ก็พบว่ากล้องวงจรปิดถูกตัดต่อ เพราะเซิร์ฟเวอร์ของผับจินหลิงที่เจ้าหน้าที่กองพิสูจน์หลักฐาน (พฐ.) กลับเหลือเพียง 1 ตัวทั้งๆที่มีเซิร์ฟเวอร์ 2 ตัว และเจ้าหน้าที่ พฐ. มีภาพกล้องวงจรปิดแค่ระหว่างวันที่ 21-26 ต.ค.65 เท่านั้น
แต่ระหว่างวันที่ 18-19 ต.ค.65 ก่อนหน้านี้ได้ถูกตัดออกไปแล้ว จึงต้องถามว่าตำรวจต้องการช่วยเหลือใคร การทำสำนวนแบบนี้หรือเรียกว่าสมบูรณ์แล้ว และที่สำคัญตัวเซิร์ฟเวอร์ของอาคารลีลาหายไปไหน เพราะมันสามารถนำไปสู่การตั้งข้อหาลักลอบเล่นการพนันได้ และบางมุมมีการปรากฏภาพพนักงานกรอกยาผงสีขาว (ยาเสพติด) บรรจุลงในวัสดุอีกด้วย
"ตนฝากถามไปยัง ผบ.ตร. และอัยการอย่างนายกุลธนิต มีใครเคยไปในที่เกิดเหตุหรือไม่ แล้วจะไปว่าความหรือไปเขียนสำนวนอย่างไร ดังนั้น ตนเลยต้องมอบเทียนให้ทั้งสองท่าน เพราะเห็นท่าน ผบ.ตร. บอกว่าตัวเองลงมานั่งคุมสำนวนเอง และ ผบช.น. ไม่ได้เป็นหัวหน้าพนักงานสอบสวนแล้ว หนำซ้ำในวันที่ตนไปให้การกับคณะอัยการ กลับมามีอัยการอักษรย่อ ส. คอยสอดแนม และพูดเลอะเทอะว่าใครจะเข้าที่เกิดเหตุได้ ถามว่าใครชวนใครไป ระหว่างบิ๊กโจ๊กกับ ป.ป.ส. ตนอยากถามว่าใครไปสำคัญตรงไหน แต่การไปสถานที่เกิดเหตุมันทำให้ได้พยานหลักฐานเพิ่มเติม ตรงนี้สำคัญกว่าหรือไม่ เพราะการที่บิ๊กโจ๊กและ ป.ป.ส. เข้าไปตรวจค้นเพิ่มเติม ก็เจอรถยนต์ที่ยังไม่ได้ถูกเปิดตรวจค้น และเจอร่องรอยเกี่ยวกับยาเสพติดในถาดไม้" นายชูวิทย์ ระบุ
นอกจากนี้ นายชูวิทย์ ระบุว่า จริงๆตนต้องเป็นฝ่ายไปสอบตำรวจ และต้องตั้งคณะชูวิทย์มากกว่า เพื่อสอบตำรวจทั้งหมด เนื่องจากปรากฏหลักฐานอันเชื่อได้ว่ามีการช่วยเหลือกันของบรรดาเจ้าหน้าที่ และตนจะตามคดีนี้ไปจนถึงชั้นศาล
ติดตามข้อมูลข่าวสารเพิ่มเติมที่ Tnews