กรมการแพทย์ ชี้แจง วางโทรศัพท์มือถือไว้หัวนอน ทำให้เป็นมะเร็งสมอง จริงหรือ
ศูนย์ต่อต้านข่าวปลอม ตรวจสอบกับ กรมการแพทย์ กระทรวงสาธารณสุข ชี้แจง วางโทรศัพท์มือถือไว้หัวนอน ทำให้เป็นมะเร็งสมอง จริงหรือ!?
ตามที่มีการโพสต์และแชร์ข้อความในสื่อต่าง ๆ เกี่ยวกับประเด็นเรื่องวางโทรศัพท์มือถือไว้หัวนอน ทำให้เป็นมะเร็งสมอง ทางศูนย์ต่อต้านข่าวปลอมได้ตรวจสอบข้อเท็จจริงโดยกรมการแพทย์ กระทรวงสาธารณสุข พบว่าข้อมูลดังกล่าวนั้น เป็นข้อมูลเท็จ
จากกรณีที่มีข้อความเตือนให้ระวังสำหรับผู้ที่ชอบวางโทรศัพท์มือถือไว้ตรงหัวนอน เพราะโทรศัพท์มือถือมีคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าเป็นตัวการหลักที่ทำให้เกิดมะเร็งสมองได้นั้น ทางกรมการแพทย์ กระทรวงสาธารณสุข ได้ชี้แจงว่าปัจจุบันมีการศึกษาในหลายงานวิจัย แต่ยังไม่มีหลักฐานชัดเจนที่แสดงว่าการใช้โทรศัพท์มือถือ หรือการวางโทรศัพท์มือถือใกล้บริเวณศีรษะ ทำให้เพิ่มความเสี่ยงในการเกิดมะเร็งสมองทั้งในผู้ใหญ่และเด็ก แต่อย่างไรก็ตาม ความสัมพันธ์นี้ยังคงต้องมีการศึกษาต่อเนื่อง และติดตามในระยะยาวในอนาคต
ทั้งนี้ การใช้โทรศัพท์มือถือมีการแพร่หลายมากขึ้น และระยะเวลาการใช้งานมากขึ้น โดยโทรศัพท์มือถือจะปล่อยคลื่นวิทยุออกมา ซึ่งผลกระทบที่ชัดเจนจากคลื่นวิทยุที่ปล่อยออกมาจากโทรศัพท์มือถือต่อร่างกายมนุษย์ คือ ทำให้อวัยวะที่สัมผัสนานพออุณหภูมิเพิ่มขึ้น เช่น เมื่อใช้โทรศัพท์มือถือแนบหูนาน ๆ ทำให้รู้สึกร้อนที่ใบหูเท่านั้น และสำหรับผู้ที่มีความกังวล อยากหลีกเลี่ยงคลื่นวิทยุจากโทรศัพท์มือถือ อาจทำได้โดยการลดการใช้โทรศัพท์มือถือให้มากที่สุด โดยใช้โทรศัพท์มีสายหรือโทรศัพท์บ้านแทน หรือหากจำเป็นต้องใช้โทรศัพท์มือถือก็เลือกใช้อุปกรณ์ Hand free เช่น เปิดลำโพง ใช้หูฟัง โดยวางโทรศัพท์มือถือห่างจากศีรษะ
ดังนั้นขอให้ประชาชนอย่าหลงเชื่อข้อมูลดังกล่าว และขอความร่วมมือไม่ส่ง หรือแชร์ข้อมูลดังกล่าวต่อในช่องทางสื่อสังคมออนไลน์ต่าง ๆ และเพื่อให้ประชาชนได้รับข้อมูลข่าวสารจากกรมการแพทย์ กระทรวงสาธารณสุข สามารถติดตามได้ที่เว็บไซต์ http://www.dms.go.th/ หรือโทร. 02 5906000
บทสรุปของเรื่องนี้คือ : ยังไม่มีหลักฐานชัดเจนที่แสดงว่าการวางโทรศัพท์มือถือใกล้บริเวณศีรษะ ทำให้เพิ่มความเสี่ยงในการเกิดมะเร็งสมองทั้งในผู้ใหญ่และเด็ก อีกทั้งโทรศัพท์มือถือจะปล่อยคลื่นวิทยุออกมา ไม่ใช่คลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าตามที่กล่าวอ้าง
หน่วยงานที่ตรวจสอบ : กรมการแพทย์ กระทรวงสาธารณสุข
ติดตามข้อมูลข่าวสารเพิ่มเติมที่ Tnews