คมนาคม ออกหนังสือ ถึง “ชูวิทย์” ขอหลักฐานปมเงินทอนรถไฟฟ้า ขีดเส้นตาย 15 วัน
กระทรวงคมนาคม ออกหนังสือด่วนถึง ชูวิทย์ ขอหลักฐานปมเงินทอนรถไฟฟ้าสายสีส้ม ขีดเส้นตาย 15 วันนับแต่วันที่ได้รับหนังสือฉบับนี้
จากกรณีที่ นายชูวิทย์ กมลวิศิษฎ์ อดีตนักการเมือง ได้เดินทางไปยังกระทรวงคมนาคม เพื่อแฉเรื่องการประมูลโครงการรถไฟฟ้าสีส้ม หลังตรวจสอบพบว่าไม่โปร่งใสล็อคสเปค ในกระบวนการกำหนด TOR และมีการปรับ TOR ใหม่ให้เฉพาะเจาะจงมากยิ่งขึ้น เพื่อให้เอกชนบางรายเข้าหลักเกณฑ์เพียงบริษัทเดียว ซึ่งแสดงถึงความไม่โปร่งใสและส่อไปในทางทุจริต
ล่าสุดเมื่อวันที่ 27 กุมภาพันธ์ 2566 ทางกระทรวงคมนาคม ได้ออกหนังสือด่วนที่สุดถึงนายชูวิทย์ เพื่อขอหลักฐานเรื่องที่นายชูวิทย์ได้กล่าวถึง โดยเนื้อหาในหนังสือระบุว่า
กระทรวงคมนาคม ในฐานะเป็นส่วนราชการที่มีหน้าที่กำกับดูแลการรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย (รฟม.) ตลอดจนข้าราชการ และเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องกับโครงการรถไฟฟ้าสายสีส้ม ช่วงบางขุนนนท์-มีนบุรี(สุวินทวงศ์) มีความจำเป็นต้องขอทราบรายละเอียดเพิ่มเติมในประเด็นเกี่ยวกับเงินทอนจากโครงการดังกล่าว 3 หมื่นล้านบาท ที่นายชูวิทย์ยืนยันว่ามีหลักฐานการโอนเงินดังกล่าวไปจ่ายค่าคอมมิชชั่นที่ประเทศสิงคโปร์ เข้าบัญชีธนาคาร HSBC เพื่อเอาทุนมาลงการเมือง และมีการทุจริตในโครงการดังกล่าว
สำหรับรายละเอียดที่ขอเพิ่มเติมจากนายชูวิทย์ มีดังนี้
1.บัญชีธนาคาร HSBC ที่ประเทศสิงคโปร์เป็นของผู้ใด บัญชีเลขที่อะไร และมีชื่อผู้ใดเป็นผู้โอนเงิน 3 หมื่นล้านบาท
2.เจ้าหน้าที่ของรัฐที่ท่านประสงค์จะกล่าวหาคือบุคคลใดบ้าง(ระบุชื่อ-นามสกุล) ดำรงตำแหน่งใด มีพฤติกรรมอย่างไรในการกระทำการทุจริตในโครงการดังกล่าว
3.ท่านมีพยานหลักฐานสนับสนุนคำกล่าวหาตามที่ได้แถลงข่าวบริเวณทำเนียบรัฐบาล และกระทรวงคมนาคม เมื่อวันที่ 21 และ 24 ก.พ.66 หรือไม่ อย่างไร
4.ท่านดำเนินการทางกฎหมายกับบุคคลที่เกี่ยวข้องตามข้อกล่าวหาของท่านเป็นคดีอาญาต่อคณะกรรมการปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ปปช.) ศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบ หรือศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองแล้วหรือไม่ อย่างไร ผลเป็นประการใด
กระทรวงคมนาคม ขอความอนุเคราะห์จากนายชูวิทย์ให้ส่งมอบข้อมูลรายละเอียด และเอกสารหลักฐานเพิ่มเติมให้กับกระทรวงคมนาคมภายใน 15 วันนับแต่วันที่ได้รับหนังสือฉบับนี้ เพื่อจะได้ดำเนินการกับผู้กระทำผิดโดยเร็ว อันจะเป็นการสร้างประโยชน์ร่วมกันให้เกิดแก่ทางราชการ และประชาชนต่อไป