พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ แถลงสรุปปิดคดี พร้อมเปิดโทษหนัก 4 ผู้ต้องหา เซ่น คดีน้องต่อ
พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ หักพาล แถลงสรุป "ปิดคดีน้องต่อ" เด็กหายที่บางเลน พร้อมจับกุมดำเนินคดี 4 ผู้ต้องหา ที่โดนโทษหนัก
ย้อนกลับไปเมื่อวันที่ 5 ก.พ. 2566 เวลา 08.30 น. ได้มี น.ส.พิไลภรณ์ หรือ นิ่ม อายุ 17 ปี และ นายสิทธิโชค หรือ พุด อายุ 19 ปี เข้าแจ้งความต่อพนักงานสอบสวน สภ.บางหลวง ภ.จว.นครปฐม ว่า น้องต่อ เด็กชายอายุ 8 เดือน บุตรชายของตน ได้หายตัวออกจากบ้านไป ตามที่สื่อมวลชนและโซเชียลมีเดียได้นำเสนอไปแล้วนั้น
คืบหน้าล่าสุด วันที่ 22 มีนาคม 2566 พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ แถลงสรุปผลการดำเนินคดีเด็กสูญหาย พื้นที่ สภ.บางหลวง - ดำเนินคดีผู้ต้องหา 4 ราย
หลังจากได้รับแจ้งเหตุดังกล่าว พ.ต.อ.สุธี วรรณสูตร ผกก.สภ.บางหลวง ได้ส่งเจ้าหน้าที่ลงพื้นที่ตรวจสอบที่เกิดเหตุ และออกค้นหาตัวน้องต่อ ร่วมกับชาวบ้านในพื้นที่ ซึ่งจากการตรวจสอบได้พบข้อสงสัยมากมาย จึงได้รายงานผลต่อผู้บังคับบัญชาตามลำดับชั้น ต่อมา พล.ต.อ.ดำรงศักดิ์ กิตติประภัสร์ ผบ.ตร. จึงได้สั่งการให้ พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ หักพาล รอง ผบ.ตร. ทำการสืบสวนติดตามกรณีดังกล่าวเพื่อทำความจริงให้ปรากฏและตามหาตัวน้องต่อกลับมาอย่างปลอดภัย พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ จึงได้สั่งการให้ พล.ต.ท.ธนายุตม์ วุฒิจรัสธำรง ผบช.ภ.7, พล.ต.ต.จักรกฤษ เครือสุนทรวานิช ผบก.ภ.จว.นครปฐม ร่วมกับ ผกก.สภ.บางหลวง เข้าตรวจพื้นที่โดยละเอียดอีกครั้งโดยให้ความสนใจในทุกประเด็น โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ความสัมพันธ์ของตัวบิดามารดา
โดยทางด้านเจ้าหน้าที่ตำรวจได้เริ่มทำการตรวจสอบพื้นที่เกิดเหตุโดยละเอียดอีกครั้ง เช่น การตรวจสอบโถส้วมซึ่งพบรอยปูนใหม่ แต่ไม่พบสิ่งผิดปกติ ตรวจสอบบริเวณภายในบ้านที่เกิดเหตุ พบหมอนที่มีคราบเลือด นอกจากนี้ยังได้กำหนดพื้นที่ค้นหาเป็นระยะไข่แดง-ไข่ขาว รวมเส้นผ่านสูญกลางระยะประมาณ 10 กม. แต่ยังไม่พบสิ่งผิดปกติ รวมทั้งยังได้นำเอาตัวพยานและผู้ต้องสงสัยมาสอบประกอบมากถึง 100 ปาก เพื่อสอบถามเกี่ยวกับสถานที่ที่อาจพบตัวน้องต่อได้ แต่ยังไม่พบเบาะแสเพิ่มเติม ต่อมาเมื่อวันที่ 27 ก.พ.66 น.ส.พิไลภรณ์ ได้รับสารภาพกับเจ้าหน้าที่ตำรวจว่า ตนได้อุ้มน้องต่อแล้วมิได้ระมัดระวัง เป็นเหตุให้น้องต่อร่วงกระแทกพื้นจนถึงแก่ความตาย ตนจึงได้นำร่างของน้องต่อไปไปทิ้งที่บริเวณแม่น้ำท่าจีน เบื้องต้นเจ้าหน้าที่ได้ลงตรวจสอบภายในแม่น้ำท่าจีนและขุดลอกแม่น้ำเป็นระยะทางมากกว่า 10 กม. แต่ไม่พบสิ่งผิดปกติแต่อย่างใด
ในขณะที่เจ้าหน้าที่ได้นำตัว น.ส.พิไลภรณ์ และนายสิทธิโชค รวมทั้งผู้ต้องสงสัยไปตรวจเปรียบเทียบพบว่า ดีเอ็นเอของนายสิทธิโชคไม่ตรงกับน้องต่อ จึงได้สืบสวนเพิ่มเติมจนพบข้อเท็จจริงว่า นายสิทธิโชค ได้มีการพาเอา น.ส.พิไลภรณ์ ไปแสวงหาผลประโยชน์ทางเพศ โดยมีผู้ซื้อบริการจำนวน 1 ราย ได้แก่ นายณัฐวุฒิ (สงวนนามสกุล) อายุ 32 ปี
จากผลการสืบสวนทั้งหมดนี้ เจ้าหน้าที่ตำรวจได้มีการดำเนินคดีกับผู้ที่เกี่ยวข้องทั้งหมดรวม 4 ราย ประกอบด้วย
- 1. น.ส.นิ่ม (นามสมมติ) อายุ 17 ปี ดำเนินคดีฐาน กระทำโดยประมาทเป็นเหตุให้ผู้อื่นถึงแก่ความตาย, กระทำใดๆ แก่ศพหรือสภาพแวดล้อม ในบริเวณที่พบศพก่อนการชันสูตรเสร็จสิ้น และรู้ว่ามิได้มีการกระทำความผิดเกิดขึ้นแจ้งข้อความแก่พนักงานสอบสวน
- 2. นายสิทธิโชค (สงวนนามสกุล) อายุ 19 ปี ดำเนินคดีฐาน เพื่อสนองความใคร่ของผู้อื่น เป็นธุระจัดหา ล่อไป หรือพาไปเพื่อการอนาจารซึ่งหญิงอายุ 15 ปีแต่ยังไม่เกิน 18 ปี และเพื่อสนองความใคร่ของผู้อื่นเป็นธุระจัดหา ล่อไป ชักพาฯ
- 3. นายสุรชัย (สงวนนามสกุล) อายุ 55 ปี ดำเนินคดีฐาน กระทำชำเราเด็กอายุยังไม่เกิน 15 ปี ซึ่งมิใช่ภริยาหรือสามีของตนโดยเด็กนั้นจะยินยอมหรือไม่ก็ตาม กระทำอนาจารแก่เด็กอายุยังไม่เกิน 15 ปีโดยเด็กนั้นจะยินยอมหรือไม่ก็ตาม
- 4. นายณัฐวุฒิ (สงวนนามสกุล) อายุ 32 ปี ดำเนินคดีฐาน พรากผู้เยาว์อายุกว่า 15 ปีแต่ยังไม่เกิน 18 ปี ไปเสียจากบิดา มารดา ผู้ปกครอง หรือผู้ดูแล เพื่อการอนาจาร โดยผู้เยาว์นั้นเต็มใจไปด้วยเพื่อหากำไรหรือเพื่อการอนาจาร
นอกจากนี้ พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ กล่าวว่า คดีดังกล่าวเป็นที่สนใจของสื่อมวลชนและประชาชนเป็นอย่างมาก เนื่องจากการค้นหาตัวน้องต่อนั้นเป็นไปด้วยความยากลำบาก ทั้งจากการให้การที่ไม่ตรงกับข้อเท็จจริง รวมทั้งการพิสูจน์ข้อสงสัยทั้งหมดให้ข้อเท็จจริงปรากฏ และการตรวจสอบพื้นที่ในวงกว้างทั้งหมดเพื่อค้นหาร่องรอยที่อาจทำให้พบตัวน้องต่อ เจ้าหน้าที่ตำรวจได้พยายามค้นหาและสืบสวนติดตามอย่างเต็มความสามารถ รวมทั้งยังได้สืบสวนขยายผลจับกุมในข้อเท็จจริงที่พบเกี่ยวกับการนำเอาแม่น้องต่อไปแสวงหาผลประโยชน์ทางเพศ จึงได้สั่งดำเนินคดีตามกฎหมายตามข้อเท็จจริงที่ปรากฏ เพื่อสามารถตอบคำถามให้กับสังคมได้ และให้มีความมั่นใจในการทำงานของเจ้าหน้าที่ตำรวจ