บริษัทดังยื่นล้มละลายแล้ว เตรียมหาผู้ซื้อรายใหม่ หลังประกาศปลดพนักงาน

 จากกรณีที่หลายสื่อต่างประเทศมีรายงานว่า บริษัทเวอร์จิน ออร์บิต (virgin orbit) ผู้ให้บริการส่งดาวเทียมขึ้นสู่อวกาศของ นายริชาร์ด แบรนสัน (Richard Branson) อภิมหาเศรษฐีชาวอังกฤษ ได้ยื่นล้มละลายภายใต้ Chapter 11 เพื่อให้มีการปรับโครงสร้างหนี้ ต่อศาลล้มละลายประจำรัฐเดลาแวร์แล้ว เมื่อวันที่ 4 เมษายน หลังไม่สามารถที่จะจัดหาเงินทุนระยะยาวเพื่อช่วยให้บริษัทฟื้นตัวจากความล้มเหลวในการส่งจรวดขึ้นสู่อวกาศเมื่อเดือนมกราคมที่ผ่านมา สร้างความตกใจไปทั่วโลกเลยทีเดียว

ซึ่งามรายงานระบุว่า การยื่นล้มละลายของ เวอร์จิน ออร์บิต เกิดขึ้นหลังบริษัทประกาศปลดพนักงาน 85% หรือราว 675 คนจากทั้งหมด 750 คนเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว พร้อมกับประกาศว่าจะยุติการดำเนินงานทั้งหมดในอนาคตอันใกล้

ด้าน นายแดน ฮาร์ต ซีอีโอของเวอร์จิน ออร์บิตกล่าวในแถลงการณ์ว่า "เราเชื่อว่ากระบวนการยื่นล้มละลายแบบ Chapter 11 เป็นหนทางที่ดีที่สุดในการระบุ และปิดการขายที่มีประสิทธิภาพและมูลค่าสูงสุด" เวอร์จิน ออร์บิตระบุในการยื่นล้มละลายว่าบริษัทมีสินทรัพย์อยู่ราว 243 ล้านดอลลาร์ และมีหนี้สินทั้งสิ้น 153.5 ล้านดอลลาร์เมื่อนับจากเมื่อวันที่ 30 กันยายน 2022

วิธีที่เวอร์จิน ออร์บิตใช้ส่งดาวเทียมขึ้นสู่อวกาศคือ การปล่อยจรวดขนาดเล็กจากเที่ยวบินของเครื่องบินโบอิ้ง 747 ทำให้สามารถปล่อยจรวดได้ภายในระยะเวลาสั้นๆ จากที่ใดก็ได้

อีกทั้งยังมีรายงานเพิ่มเติมว่า เวอร์จิน ออร์บิตประสบความล้มเหลวในการปล่อยจรวดลอนเชอร์ วัน ซึ่งนับว่าเป็นจรวดลำแรกที่ถูกปล่อยขึ้นในประเทศอังกฤษเพื่อนำดาวเทียมทั้งหมด 9 ดวงขึ้นสู่อวกาศวันที่ 9 มกราคมที่ผ่านมา บริษัทยังต้องเผชิญกับปัญหาในการหาเงินทุนก้อนใหม่หลังความล้มเหลวดังกล่าว จนนำมาสู่การหยุดการปฏิบัติงานและพักงานพนักงานทั้งหมดในวันที่ 15 มีนาคมเพื่อประหยัดค่าใช้จ่าย

โดย ฮาร์ต กล่าวในแถลงการณ์อีกว่า "เราเชื่อว่าเทคโนโลยีการปล่อยจรวดขึ้นสู่อวกาศอันล้ำสมัยที่ทีมงานของบริษัทได้คิดค้นขึ้นมาจะช่วยดึงดูดผู้ซื้อบริษัทได้อย่างมาก ในขณะที่เราดำเนินการขายบริษัทต่อไป"

 

 ทั้งนี้ เวอร์จิน ออร์บิตมีมูลค่าในตลาดอยู่ที่ 65 ล้านดอลลาร์ตามราคาปิดตลาดหุ้นของวันที่ 3 เมษายน ลดลงจากกว่า 3 พันล้านดอลลาร์เมื่อ 2 ปีที่แล้ว โดยหุ้นของบริษัทปรับตัวลดลง 12% ในการซื้อขายล่วงหน้าก่อนเปิดตลาดในวันที่ 4 เม.ย. 2566

 

ขอบคุณภาพจาก Richard Branson