ข้าราชการสาว โร่แจ้งความ ถูกหลอกให้รักผ่านแอปฯหาคู่ แค่ 3 เดือน สูญเงิน 5 ล้าน
ข้าราชการสาว ถูกหลอกให้รักผ่านแอปฯหาคู่ ในเวลา3 เดือน สูญเงินกว่า 5 ล้านบาท เผยโดนหลอกง่ายเพราะป่วยเป็นไบโพลาร์
กลายเป็นเรื่องราวที่น่าเห็นใจอย่างมาก กรณี ข้าราชการสาว ถูกหลอกให้รักผ่านแอปฯหาคู่ จึงตัดสินใจ ร้องเพจสายไหมต้องรอด โดยนายเอกภพ เหลืองประเสริฐ ผู้ก่อตั้งเพจสายไหมต้องรอด พาผู้เสียหาย เป็นหญิง อายุ 37 ปี ข้าราชการหญิงแห่งหนึ่ง มาร้องขอความเป็นธรรมหลังเธอถูกมิจฉาชีพ คนหนึ่งหลอกให้รักและหลอกให้โอนเงินที่ไปกู้หนี้ยืมสินมาให้กับมิจฉาชีพ และถูกทำร้ายร่างกาย และถูกข่มขู่ว่า หากเลิกจะนำภาพลับภาพอนาจารไปปล่อยในที่ทำงานให้เกิดความอับอาย ซึ่งระยะเวลาประมาณ 3 เดือน เธอเสียหายไปกว่า 5 ล้านบาท
โดยทางด้าน สาวข้าราชการผู้เสียหาย เล่าว่า เมื่อช่วงเดือนเมษายน ที่ผ่านมา เธอได้เข้าไปเล่นในแอพหาคู่แอพหนึ่ง แล้วก็มีคนเข้ามาทักและพูดคุยกับเธอ ตอนแรกก็พูดคุยดีในเชิงจีบ และมีการพูดคุยถามเรื่องการเงินของเธอ เธอก็บอกไปว่าตอนนั้นเธอมีหนี้สินอยู่ 8 แสนบาท มิจฉาชีพ ก็ออกอุบายว่าจะช่วยเธอปลดหนี้
โดยให้เธอไปสร้างเครดิตด้วยการซื้อรถยนต์ เธอก็เชื่อเพราะว่ามิจฉาชีพอ้างกับเธอว่าเป็นผู้เชี่ยวชาญเรื่องหุ้น เรื่องการเทรดหุ้นเรื่องการเงินจบปริญญาตรีเศรษฐศาสตร์สองใบมีเงินฝากอยู่ต่างประเทศ ก็ทำให้เธอหลงเชื่อและทำตามที่มิจฉาชีพสั่งให้ทำ จากนั้นเธอก็ซื้อรถยนต์ทั้งที่ยังขับรถไม่เป็นมาหนึ่งคันและถัดมาอีกสองสัปดาห์เธอก็ซื้ออีกหนึ่งคันตามคำสั่งของมิจฉาชีพ ซึ่งระหว่างนั้นทั้งคู่ก็เริ่มคบหากันและมิจฉาชีพได้พาเธอให้ไปธนาคารต่างๆเพื่อกู้เงิน และบังคับให้เธอยืมเงินจากเพื่อนที่ทำงาน
และพาเธอไปซื้อทองซื้อสิ่งของมีค่าแต่เมื่อซื้อมาแล้วสิ่งของเหล่านั้นอยู่ที่มิจฉาชีพไม่ได้อยู่ที่เธอแม้แต่ชิ้นเดียว เมื่อเธอไม่ยินยอมหรือว่าขัดขืนก็จะถูกข่มขู่ถูกตวาดขึ้นเสียงดังใส่ ซึ่งเธอยอมรับว่าเธอมีความกลัวเนื่องจากตัวเธอเองมีอาการเป็นไบโพลาร์ที่จะกลัวเสียงดัง กลัวเสียงตะคอก จึงเป็นช่องว่างให้มิจฉาชีพสามารถคุมเธอได้ และระยะหลังเธอเริ่มรู้ตัวว่าถูกหลอก จึงพยายามตีตัวออกห่าง
แต่ก็ถูกมิจฉาชีพขู่อ้างว่าตนเองเป็นผู้มีอิทธิพล และรู้จักกับคนใหญ่คนโตในหลายจังหวัดที่พื้นที่ภาคใต้และย่านลาดพร้าว รวมถึงยังมีการไปข่มขู่เธอถึงที่ทำงานที่เป็นสถานที่ราชการและอ้างว่าจะปล่อยภาพลับ ภาพอนาจารระหว่างที่คบหากันในที่ทำงานเธออีกด้วย ทำให้เธอรู้สึกกลัว และไม่ปลอดภัยในชีวิต
ซึ่งเมื่อถามถึงทรัพย์สินทั้งรถยนต์และเงินสดต่างๆที่กู้ธนาคารมาผู้เสียหายบอกว่าถามมิจฉาชีพได้นำรถยนต์เธอ 2 คันที่ไปซื้อมาไปจำนำ ที่เต้นท์รถย่านปทุมธานี โดยบังคับให้เธอเป็นคนเซ็นเอกสารต่างๆรวมถึงเงินสดทั้งหมดที่ได้มาฝ่ายชายก็เป็นคนนำไปใช้เองทั้งหมด ทำให้ตอนนี้เธอไม่มีเงินติดตัวแถมมีหนี้สินจำนวนกว่า 5 ล้านบาท ที่ต้องชดใช้ซึ่งเธอยอมรับว่าเธอกังวลไม่อยากถูกเป็นบุคคลล้มละลายเนื่องจากเธอเป็นข้าราชการ หากถูกเป็นบุคคลล้มละลายก็จะต้องออกจากข้าราชการ
ด้าน นายเอกภพ บอกว่า ผู้เสียหายได้ติดต่อมาขอความช่วยเหลือจากเพจสายไหมต้องรอดเพราะเธอไม่รู้ว่าจะไปพึ่งใครแล้วและเธอกลัวมาก ซึ่งนายเอกภพ ยังบอกอีกว่า ผู้เสียหายได้เล่าให้ฟังว่า
ก่อนหน้านี้ช่วงเดือนพฤศจิกายนที่ผ่านมา ผู้เสียหายก็เคยถูกมิจฉาชีพหลอกผ่านแอปหาคู่ จนทำให้สูญเงิน 8 แสนบาทดังกล่าว ซึ่งเธอก็เครียด ประกอบกับเธอมีอาการป่วยเป็นโรคไบโพล่าร์จึงเป็นช่องว่างให้มิจฉาชีพเข้ามาหลอกเธอได้ง่าย เพราะเมื่อเธอถูกตะคอกหรือตะโกนเสียงดังใส่ก็จะมีความกลัวและจะไม่กล้าขัดขืน
และที่ตอนนี้เธอหลุดออกมาได้เพราะว่าเธอย้ายที่พักอาศัยและเปลี่ยนคีย์การ์ดและกุญแจเข้าห้องทำให้มิจฉาชีพไม่สามารถตามตัวเธอเจอได้ ทำให้วันนี้ตนเองได้พาผู้เสียหายมาแจ้งความเพื่อดำเนินคดีกับมิจฉาชีพคนดังกล่าว