"ทนายเกิดผล" ยกเหตุผล 3 ข้อ "ลุงพล" ยังมีลุ้นในชั้นอุทธรณ์
ทนายเกิดผล แก้วเกิด ยกเหตุผล 3 ข้อ ลุงพลยังมีลุ้นในชั้นอุทธรณ์ อาจเห็นแย้งกับศาลชั้นต้นว่าควรยกฟ้อง หลังศาลชั้นต้นสั่งจำคุกลุงพล 20 ปี
จาก "คดีน้องชมพู่" เสียชีวิต หลังเมื่อวันที่ 20 ธ.ค.66 ที่ผ่านมา ศาลจังหวัดมุกดาหารได้ตัดสินจำคุก ลุงพล ไชย์พล วิภา จำเลยที่ 1 ซึ่งปรากฏว่าจากหลักฐานต่าง ๆ พบว่าลุงพลมีความผิด ในความผิดฐานกระทำการโดยประมาทเป็นเหตุให้ผู้อื่นถึงแก่ความตาย, พรากเด็กอายุยังไม่เกิน 15 ปี ไปเสียจากบิดามารดา โดยปราศจากเหตุสมควร รวมต้องโทษจำคุก 20 ปี แต่ศาลก็อนุญาตให้ประกันตัวในวงเงิน 5 แสนบาท และยกฟ้องนางสมพร หลาบโพธิ์ หรือ ป้าแต๋น ตามที่เสนอข่าวไปแล้วนั้น
ก่อนต่อมามีข้อมูลเพิ่มเติมว่า พล.ต.ต.นพศิลป์ พูลสวัสดิ์ รองผบช.น. หนึ่งในคณะทำงานชุดคลี่คลายคดีน้องชมพู่ ได้สรุปสาระสำคัญที่เป็นพยานหลักฐานสำคัญได้ทั้งหมด 8 ข้อ ดังนี้
1. เส้นทางที่ยากลำบากเกินความสามารถของน้องชมพู่ มีเนินชันมากกว่า 60 องศา ขวางกั้นในทุกเส้นทาง
2. พลังงานจากอาหารมื้อสุดท้าย ที่น้องชมพู่รับประทานไปไม่เพียงพอต่อการเดินไปบนจุดพบศพ
3. ประสบการณ์ชาวบ้านยืนยันว่า เด็ก 3 ขวบ จะปีนป่ายไปถึงได้แค่ชั้นที่ 2 ของภูเหล็กไฟเท่านั้น
4. กรณีศึกษาการหลงป่า ของ ชาวบ้านกกตูม ชาวบ้านสามารถหาได้เจอภายในคืนเดียว
5. แพทย์ผู้ชันสูตรและกุมารแพทย์ ยืนยืนว่า พัฒนาการของเด็กอายุ 3 ขวบ ไม่สามารถที่จะเดินขึ้นไปเองได้
6. สภาพศพที่เปลือยกาย ซึ่งบิดาและมารดาของน้องชมพู่ยืนยันว่าน้องชมพูไม่สามารถถอดเสื้อเองได้
7. พยานหลักฐานในที่เกิดเหตุ ที่ตรวจพบเส้นผมน้องชมพู่ถูกตัดด้วยมีด เชื่อได้ว่าเป็นการกระทำของบุคคลอื่น
8. นิสัยส่วนตัวของน้องชมพู่ กลัวที่สูง และกลัวป่า ที่ผ่านมาของน้องชมพู่ไม่เคยไปในป่าหลังบ้านเลยสักครั้ง
คำตัดสินถือเป็นอีกหนึ่งบทพิสูจน์การทำงานของชุดคลี่คลายคดีที่อดหลับอดนอน ปีนเขากัน 8 ลูก 9 ลูก กันมานานกว่า 3 - 4 เดือน ในการหาพยานหลักฐานให้ได้มากที่สุด เพื่อให้คนร้ายได้รับการลงโทษกับสิ่งที่กระทำต่อเด็กที่อายุเพียงแค่ 3 ขวบ ยืนยันว่าทุกอย่างเป็นไปตามกระบวนการยุติธรรมทุกขั้นตอน ตั้งแต่การสืบสวน การสอบสวน รวมถึงการเก็บรวบรวมพยานหลักฐานทั้งหมดนำส่งศาลเพื่อสืบพยานในชั้นศาล
เกี่ยวกับกรณีดังกล่าวหลังจากที่ศาลมีคำตัดสินออกมาแล้วนั้น ทางด้าน ทนายเกิดผล แก้วเกิด ได้โพสต์ผ่านเฟซบุ๊กของถึงเผยว่าลุงพลยังมีลุ้นในชั้นอุทธรณ์ อาจเห็นแย้งกับศาลชั้นต้นและเห็นสมควรยกฟ้องโดยระบุว่า
คดีลุงพล ยังมีลุ้นในชั้นอุทธรณ์
1. ในคดีที่พนักงานอัยการฟ้องข้อหาร้ายแรง คือ เจตนาฆ่า ศาลชั้นต้นก็ไม่ได้ลงโทษในข้อหาดังกล่าว แต่ลงโทษข้อหาประมาทเป็นเหตุให้ผู้อื่นถึงแก่ความตาม แสดงว่า โจทก์ไม่มีพยานหลักฐานใดๆ ที่เป็นประจักษ์พยานมานำสืบให้เห็นว่าจำเลยมีเจตนาฆ่าน้องชมพู่
2. ศาลรับฟังพยานหลักฐาน ที่เป็นโทษแก่จำเลย ยิ่งกว่าส่วนที่เป็นคุณ โดยอาศัยพยานหลักฐาน ทางนิติวิทยาศาสตร์เพียงบางส่วน เช่น เส้นผมผู้ตายที่ถูกตัดแล้วปรากฎในรถของจำเลย และ พิรุธ จากถ้อยคำการกล่าว อ้าง เรื่องฐานที่อยู่ ที่เลื่อนลอย และ ขัดแย้งกับข้อเท็จจริง ที่เป็นโทษต่อจำเลยเอง
3 และ…. คดีนี้อธิบดีผู้พิพากษาภาค 4 และผู้พิพากษาหัวหน้าศาลจังหวัดมุกดาหาร ตรวจสำนวนและทำความเห็นแย้งว่าพยานหลักฐานของโจทก์และโจทก์ร่วมทั้งสองมีข้อสงสัยตามสมควร ต้องยกประโยชน์แห่งความสงสัยให้จำเลยที่ 1 เห็นควรพิพากษายกฟ้อง
แสดงว่า ยังมีผู้พิพากษาระดับหัวหน้าศาล และอธิบดีผู้พิพากษาภาค 4 เห็นแย้งในปัญหาข้อเท็จจริง และพยานหลักฐาน แตกต่างจากองค์คณะศาลชั้นต้น ว่า คดีนี้ควรยกฟ้อง
ดังนั้น ลุงพลยังพอมีลุ้นต่อในศาลอุทธรณ์
ส่วนอัยการ ผมเชื่อว่า น่าจะอุทธรณ์ในประเด็นเจตนาฆ่า เพราะว่า การทอดทิ้งเด็กไว้ลำพัง โดยไม่มีอาหารและน้ำ ปราศจากผู้ดูแล #ย่อมเล็งเห็นได้ว่าเด็กอาจเสียชีวิตเพราะขาดอาหาร หรือ สัตว์ทำร้าย จนถึงแก่ความตายได้
ต้องติดตามในชั้นอุทธรณ์ต่อไป