เจ้าของโวย ถูกชาวบ้านยึดที่ดิน อ้างครอบครองปรปักษ์ แจ้งความ 18 ปี คดีไม่คืบ
เจ้าของที่โวย ถูกชาวบ้านยึดที่ดินย่าน 5 แยกปากเกร็ด เนื้อที่กว่า 600 ตารางวา ปลูกที่อยู่อาศัย อ้างครอบครองปรปักษ์ แจ้งความ 18 ปี คดีไม่คืบ
ยังคงมีประเด็นออกมาให้ติดตามกันเรื่อยๆ สำหรับคดีครอบครองปรปักษ์ วันที่ 7 มี.ค. 67 ที่สำนักงานกฎหมายทนายคลายทุกข์ ถ.รามอินทรา นางรัตนา และนางศุภรดา ชาญพานิชย์สกุล สองพี่น้องเข้าร้องเรียนกับทนายเดชา กิตติวิทยานันท์ หลังถูกชาวบ้านเข้ายึดที่ดินเนื้อที่กว่า 600 ตารางวาและปลูกสิ่งปลูกสร้าง แจ้งความไว้กับ สภ.ปากเกร็ด แล้วแต่คดีไม่มีความคืบหน้า โดยเล่าจุดเริ่มต้นของเรื่องนี้ว่า
พ่อแม่ผู้เสียหายได้ซื้อที่ดินไว้เมื่อปี 2503 เป็นที่ดินตาบอดใกล้ห้าแยกปากเกร็ด ตั้งอยู่ติดกับการเคหะปากเกร็ด และโครงการที่อยู่อาศัย ก่อนจะถูกบุกรุกเข้าไปตั้งเพิงหมาแหงน 8-10 หลัง โดยผู้อยู่อาศัยทั้งหมดเป็นญาติพี่น้องกัน และอ้างว่าได้ครอบครองมาตั้งแต่ปี 2530 แต่หากจะแสดงเจตนาเป็นเจ้าของจริง ต้องไปยื่นศาลตั้งแต่ 10 ปีแรก จึงมองว่ามีพฤติกรรมไม่สุจริต ทั้งยังตั้งเพียงเพิงไม้ไม่ใช่ลักษณะสิ่งปลูกสร้างถาวร ซึ่งผู้เสียหายแจ้งความไว้ที่ สภ.ปากเกร็ด ตั้งแต่ปี 2549 จนปัจจุบันเกือบ 18 ปียังไม่มีความคืบหน้า
ด้านนางรัตนา กล่าวว่า พ่อแม่ตนได้ซื้อที่ดังกล่าวไว้ 2 แปลง ตั้งแต่ปี 2503 แต่ไม่ได้เข้าใช้ทำประโยชน์เนื่องจากเป็นที่ดินตาบอด ก่อนจะส่งต่อให้ตนกับน้องสาวในเดือน พ.ค. 2546 แบ่งกันคนละแปลง ขนาด 326 ตารางวา และ 327 ตารางวา ซึ่งขณะนั้นยังไม่มีใครเข้าใช้ประโยชน์และอยู่อาศัย จึงได้ขอรังวัดที่ดิน ต่อมาในเดือน ก.ย.ปีเดียวกัน พบว่ามีผู้บุกรุกเข้ามาในที่ดิน จึงไปแจ้งความที่ สภ. ปากเกร็ด โดยตำรวจบอกว่าผู้บุกรุกได้ออกจากพื้นที่แล้ว แต่ก็ยังมีผู้บุกรุกรายใหม่เข้ามาอยู่แทนตลอด
นางรัตนา กล่าวอีกว่า นอกจากนี้ยังแจ้งความไว้อีกในปี 2559,2565 และ 2566 ซึ่งชื่อของผู้ที่ถูกแจ้งความนั้นเปลี่ยนอยู่ตลอด และตนไม่เคยพบผู้ที่บุกรุกเพื่อมาพูดคุยกันเลย ขณะที่ตำรวจเพียงแค่ทำหน้าที่คอยสืบหาข้อมูลให้ ก่อนจะส่งอัยการไปเรียบร้อยแล้ว
โดยเมื่อราว 5 ปีก่อน ตนพยายามไปเจรจากับผู้บุกรุกเพื่อขอให้เซ็นสัญญาเช่า แต่ผู้บุกรุกกลับไม่ยอม อ้างว่าคนอื่นที่เข้ามาอาศัยก็ไม่ได้เสียเงิน ถ้าอยากได้ก็ไปฟ้องเอา
นางรัตนา กล่าวว่า ตลอดเวลาตนเสียภาษีที่ดินมาทุกปี และรังวัดพร้อมสอบเขตที่ดินเช่นกัน ซึ่งเมื่อเดือน ก.พ.ที่ผ่านมา ได้เข้าไปประเมินราคาที่ดินทั้งสองแปลง อยู่ที่แปลงละประมาณ 3.4 ล้านบาท ดังนั้น แม้ว่ราตัวเองจะไม่เข้าไปใช้ประโยชน์ แต่ก็ไม่ได้ละทิ้งที่ดิน
- “ส่วนตัวไม่เครียด คิดว่าหากอะไรเป็นของเราก็เป็นของเรา คู่กรณีรู้อยู่ว่าไม่ใช่ของเขา น่าจะมีสำนึกบ้าง ไม่เช่นนั้นหากอยากได้ของคนอื่นแบบนี้ไปปลูกบ้านที่สนามหลวงอยู่ก็ได้หรือไม่”