7 ต้นไม้มงคล ปลูกไว้หน้าบ้าน เสริมดวงให้ชีวิตมั่นคง

1. ต้นพุด เชื่อกันว่า ไม่ว่าจะเป็นต้นพุดชนิดใดจะส่งผลให้ "มีความเจริญ มั่นคง แข็งแรงสมบูรณ์ ทั้งสิ้น" แต่ก็ควรให้เป็นพุดชนิดที่ดอกสีขาว แต่อีกนัยน์หนึ่ง การปลูกต้นพุดก็จะช่วยส่งเสริมเรื่องของความสำเร็จ เสริมสร้างบารมี และช่วยให้ครอบครัวอยู่เย็นเป็นสุขอีกด้วย

2. ต้นพญายอ มีความเชื่อกันว่า "จะทำให้ดำเนินชีวิตราบรื่นเป็นสุขสมบูรณ์" อีกทั้งพันธุ์ไม้ชนิดนี้มีสรรพคุณเป็นยาอีกด้วย โดยเรียกอีกชื่อหนึ่งว่า "เสลดพังพอนตัวเมีย" มีลำต้นและกิ่งก้านสีเขียวเข้ม

3. ต้นจำปา ถือเป็นต้นไม้มงคลที่จะ "นำโชค และเหมาะสมกับคนเกิดวันอาทิตย์อย่างยิ่ง" ต้นจำปาจะออกดอกตลอดทั้งปี มีกลิ่นหอมในตอนแรกแย้มช่วงพลบค่ำ ดอกมีสีน้ำตาลปนขาวเล็กน้อย อีกทั้งยังมีสรรพคุณทางยาอีกด้วย

4. ต้นชบา ถือเป็นต้นไม้มงคลด้วยความเชื่อว่า "ให้คุณด้านการงานเจริญก้าวหน้าไร้ปัญหาและอุปสรรค" บางทีมีความเชื่อว่า ต้นชบา ไม่ควรปลูกภายในบริเวณบ้าน เพราะว่าดอกชบามักถูกนำไปใช้ในเรื่องที่ไม่เป็นมงคล อาทิ การนำมาร้อยเป็นพวงมาลัยเพื่อสวมคอนักโทษก่อนประหาร ซึ่งก็ขึ้นอยู่ที่ความเชื่อส่วนบุคคล

5. ต้นราชพฤกษ์หรือคูน เป็นต้นไม้มงคลด้วยดอกที่เป็นพวงระย้าสวยงาม และมีดอกสีเหลืองตัดกับสีของท้องฟ้าในฤดูร้อน จะทำให้บ้านดูสดใสและยังมีความเป็นมงคลทางด้าน "ช่วยให้มีเกียรติและมีศักดิ์ศรี" นอกจานั้น เราสามารถพบต้นราชพฤกษ์ได้มากในบริเวณเส้นทางที่จะมุ่งหน้าสู่ภาคอีสานเต็ม ๒ ข้างทางในช่วงหน้าร้อน  เป็นทิวทัศน์ที่สวยงามเหมาะแก่การถ่ายรูปเป็นอย่างมาก

6. ต้นโป๊ยเซียน จะเป็นโป้ยเซียนพันธุ์ใดก็ได้ แต่จะต้องมีดอกสีเหลืองหรือสีส้ม และจะเป็นมงคลอย่างยิ่งหากเป็นสีส้มหรือสีเหลืองในดอกเดียวกัน โป๊ยเซียนไม้แห่งโชคลาภจะนำโชคลาภมาให้กับผู้ปลูก

สมัยก่อนเชื่อกันว่า "หากโป๊ยเซียนบ้านไหนบาน ๘ ดอก๑๖ ดอก ถือเป็นของธรรมดา แต่ถ้า ๘ ดอกนั้นมีสีสวย ขนาดใหญ่ และดอกเรียงกันเป็นระเบียบ ก็อาจทำให้เจ้าของบ้านมีโชคเป็นเงินแสนได้เหมือนกัน"

7. ต้นเข็ม เป็นต้นไม้มงคลควรปลูกต้นเข็มไว้ในบริเวณบ้านเชื่อว่า "จะทำให้สมองปลอดโปร่งเกิดความคิดความอ่านที่ดี ความคิดเฉียบขาด"

อีกทั้ง "ดอกเข็ม" เป็นสิ่งที่มีความแหลมคน คนไทยโบราณจึงใช้ดอกเข็มมาประดับเพื่อใช้ประกอบในพิธีไหว้ครู เพื่อจะได้เป็นนักปราชญ์ที่มีสติปัญญาเฉียบแหลม

ยังมีอีกหลายความเชื่อที่ Thainews จะพาไปหาคำตอบ โปรดติดตามได้ในบทความหน้า 

ขอบคุณ : TNEWS