ชาวบ้านกว่า 300 ชีวิต ตกเป็นเหยื่อกลอุบาย "เราเที่ยวด้วยกัน"
ชาวบ้านในพื้นที่อำเภอหาดสำราญ กว่า 300 ชีวิต เข้าพบพนักงานสอบสวน หลังถูก สภ.หาดสำราญ ออกหมายเรียกเพื่อทำการสอบปากคำ เนื่องจากข้อความในหมายเรียก ระบุความอาญา ที่การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.)
โดย นายรัชชานนท์ ขุนพรม เป็นผู้รับมอบอำนาจ ได้เป็นผู้กล่าวหายื่นฟ้องผู้ต้องหา คือ โรงแรมบอลลูน ต.พิมาน อ.เมืองสตูล สตูล กับพวก และการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.)
ขณะที่ น.ส.ภัทราภรณ์ วิมลรัตน์ เป็นผู้รับมอบอำนาจ ผู้กล่าวหายื่นฟ้องผู้ต้องหา คือ โรงแรม Papook Resort ต.ทุ่งนุ้ย อ.ควนกาหลง จ.สตูล โดย นางอาภรณ์ ชูทอง กับพวก หลังจากที่ถูกกล่าวหาว่า ร่วมกันฉ้อโกงเบิกเงินรัฐในโครงการ “เราเที่ยวด้วยกัน” โดยการนำชื่อ เอกสารของชาวบ้านไปแอบอ้าง ทั้งที่ไม่มีการนำชาวบ้านไปเที่ยว หรือเข้าไปพักในโรงแรมจริง วันนี้ชาวบ้านที่ถูกออกหมายเรียก มีทั้งรายที่เคยนำเอกสารไปยื่นเพื่อสมัครเข้าร่วมโครงการ และชาวบ้านอีกจำนวนหนึ่งที่ไม่เคยได้ยื่นเอกสารสมัคร แต่กลับมีชื่อ จนทำให้ชาวบ้านวิตกกังวลว่าจะมีส่วนในการร่วมกระทำผิดด้วยหรือไม่
โดยชาวบ้านที่ตกเป็นเหยื่อเปิดเผยว่า ตกใจหลังที่ทางเจ้าหน้าที่ตำรวจได้นำหมายเรียกให้มาเป็นพยานถึงบ้าน พร้อมทั้งสอบถามว่าเคยได้ไปเที่ยว 2 โรงแรมนี้มั้ย ซึ่งตนก็ยืนยันว่าไม่เคยไป แต่มีชื่อไปปรากฏอยู่ว่าเคยไปเที่ยวเข้าร่วมกับโครงการเราเที่ยวด้วยกัน และทางตำรวจยังได้ถามอีกว่าเคยเอาเอกสารสำคัญ บัตรประจำตัวไปให้กับใครบ้าง แต่ก็ยืนยันว่าไม่เคย แต่ตนเองเคยนำบัตรสวัสดิการแห่งรัฐไปตั้งไว้ที่ร้านของ “เจ๊นา” ซึ่งเป็นร้านมินิมาร์ทอยู่ในพื้นที่ เลยคาดว่าจะถูกนำบัตรดังกล่าวไปใส่ชื่อเข้าร่วมในโครงการจนทำให้ถูกหมายเรียกให้มาเป็นพยานในครั้งนี้ และขอยืนยันว่าไม่เคยได้ไปเที่ยวเลย ทุกวันทำงาน และเลี้ยงลูก แต่ต้องกลับมาถูกตกเป็นเหยื่อโดยไม่รู้ตัว ตนจะขอดำเนินคดีกับผู้กระทำผิดให้ถึงที่สุด
ขณะเดียวกันชาวบ้านอีกรายเผยว่า “เจ๊นา” มาประกาศกับชาวบ้านว่ารัฐบาลจะมีการช่วยเหลือเงินให้กับชาวบ้านคนละ 50,000 บาท ตนก็เลยได้เข้าไปหานางมา (ไม่ทราบชื่อ-สกุล) ซึ่งเป็นพรรคพวกกับ “เจ๊นา” เพื่อสอบถามโดยที่นางมา ยืนยันว่าเป็นเรื่องจริง เป็นโครงการจิตอาสาพอเพียง ถ้าใครอยากได้เงินจำนวน 50,000 บาท ก็ให้นำบัตรประชาชน ทะเบียนบ้าน และบัญชีมาให้ ด้วยความที่อยากเข้าร่วม
ก็เลยรวบรวมเอกสารทั้งของตนและของญาติพี่น้องเพื่อนำไปให้กับนางมา แต่นางมาบอกว่าไม่รับเอกสาร โดยให้ไปยื่นโดยตรงกับ “เจ๊นา” ตนก็เลยฝากน้องสาวไปยื่น จากนั้นเป็นต้นมาเรื่องก็เงียบไปโดยที่ไม่ได้รับความคืบหน้า จนกระทั่งมีหมายเรียกให้มาเป็นพยานถึงที่บ้านและเดินทางเข้ามาให้ปากคำกับเจ้าหน้าที่วันนี้ และยืนยันว่าไม่เคยได้รับเงินใดๆ หรือเข้าไปพักที่โรงแรมใด แถมเบอร์ของตนถูกยืนยันว่ามีการเบิกถอนเงินไปแล้ว จึงไปตรวจสอบกับทางธนาคารแต่ปรากฏว่าไม่เคยมีเงินในส่วนดังกล่าวเข้ามาในบัญชี ตนก็หวั่นใจเหมือนกันที่ตกเป็นเหยื่อ